สงสัยถาม :
การที่พิสูจน์ออกมาแล้วเด็กทำไม่ได้
หมายถึงเด็กโกหก
หรือโกงใช่หรือไม่
ตอบชี้แจง:
ผมเอง
จะไม่บอกว่าเด็กโกง
แต่บอกแค่ว่า
จากการทดสอบมาแล้วนั้น
เด็กหัวกระทิที่เค้าคัดมาทดสอบทั้งหมดทุกคน
ทำไม่ได้จริงๆ
แต่ถ้าจะพูดถึงคนโกหก
คนที่โกหกแน่ๆ
น่าจะเป็นทางโรงเรียนมากกว่า
ที่ไปสอนให้เด็กเข้าใจว่า
สิ่งที่เด็กเห็นลอดผ้าคือการมองเห็นจากสมองส่วนกลาง
ส่วนจะมีเด็กบางคนที่รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นการมองลอดช่อง
แต่ยังโกหกว่าเห็นจากสมองส่วนกลางหรือไม่อันนั้น
คงเป็นเรื่องแต่ล่ะคนที่ผู้ปกครองต้องสังเกตดูเอง
สงสัยถาม : การที่เรื่องออกมาถึงตอนนี้
เราด่วนสรุปเกินไปหรือ
ไม่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง
ตอบชี้แจง:
เรื่องนี้ต้องยืนยันว่า
เราไม่ได้ด่วนสรุป
เพราะว่า
ตั้งแต่เริ่มเราเห็นพิรุธ
ตั้งแต่ออกรายการทีวีทั้งหลาย
อีกทั้งการกล่าวอ้างทั้งหมด
ก็ขัดหลักวิชาการแพทย์
และวิทยาศาสตร์ คือ
ขัดหลักความจริง
ไม่ได้เป็นตามที่กล่าวอ้าง
อย่างสิ้นเชิง และ
ก็ไม่ใช่แค่ความเห็นของผมที่เป็นหมอ
เวชศาสตร์ครอบครัว
คนนึงเท่านั้น
แต่เรื่องนี้ผมได้ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม
อย่างละเอียด และ
ในได้เรียนปรึกษาอจ.ผม
อจ.หมอศิวพร (
สิงหเนตร)
จันทร์กระจ่าง หัวหน้าแผนกโรคทางสมอง
(Neuro Med ) ของคณะแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
และ อจ.หมอพินิจ
ลิ้มสุคนธ์ เซียน
Neuro Med มือหนึ่งของไทย
ผู้เขียนหนังสือดังหมอปากหมา"
ซึ่ง
ทั้งสองท่านต้องเรียกว่าเป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเรื่อง
สมองทางด้านนี้โดยตรง
และทางสองท่าน
ก็ ฟันธงตรงกันว่า
มันผิดหลักการแพทย์
และเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดแน่นอน
จะเห็นว่าเราก็ไม่ได้ด่วนสรุป
แต่เราใช้ขบวนการทางวิทยาศาตร์ครบรูปแบบ
ในการสังเกตุ ค้นหาข้อมูล
ตลอดจนทดสอบแล้ว
และ ในการทดสอบ
แม้ทางฝ้ายเค้าจะมีข้ออ้างที่หลายอันเหมือนฟังไม่ขึ้นมากมายตามที่เคยอธิยายไป
แต่เราก็พยายามยืดหยุ่นยอมตามเค้าทุกอย่างแล้ว
แต่เค้า
ก็ยังทำไม่ได้ ตามที่กล่าวอ้าง
เราจึงสรุปได้อย่างมั่นใจว่า "
เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่จริง
"
ดังนั้น
จึงคิดว่า
ไม่ควรที่จะปล่อยให้
คนเข้าใจผิดต่อไปได้อย่างไร
เด็กที่เข้าใจผิด
ใช้เวลารับรู้ปรับตัวไม่นาน
ไม่น่าห่วงเท่าเด็กที่จะหลงเข้าไป
เป็นเหยี่อรายใหม่มากกว่าหลายเท่า
สงสัยถาม :
หลังจากสื่อนำเสนอเรื่องการพิสูจน์ว่าการมองเห็นด้วยสมองส่วนกลางเป็นเรื่องไม่จริง
เป็นเพียงการมองลอดผ้าที่ปิดตาออกมา
แล้วทางสถาบันที่สอน
Power Mind Canp
ออกมาแก้ตัวว่า
การมองเห็นด้วยสมองส่วนกลางเป็นเพียงผลพลอยได้จากหลักสูตรนี้
เท่านั้น
ผลที่ต้องการ
และเด็กจะได้รับคือ
ผลดีอื่น
ตามที่เคยกล่าวอ้างไว้ด้วย
เช่น มีสมาธิ
สติปัญญา อารมณ์ และ
ความสมดุลย์ของฮอร์โมน
ดีขี้น
เรื่องนี้เห็นว่าอย่างไร
ตอบชี้แจง:
หลายคนที่ได้ยิน
รวมทั้งผมต้องยอมรับว่า
การบอกอย่างนั้น
คือการ " แถ " หรือ
หาข้ออ้างเพื่อบ่ายเบี่ยงประเด็นมากกว่า
เนื่องจากจุดขายหลักที่ทาง
แค้มป์นี้
ใช้เป็นจุดขายตลอดจนนำเสนอออกสู่สายตาประชาชน
รวมทั้งรายการทีวีหลายๆรายการ
ก็คือ
การทำให้เห็นว่า
การฝึกนี้มันคือหลักสูตรมหัศจรรย์ทำให้เด็กเป็นเด็กพิเศษ
ที่มีมองเห็นได้โดยไม่ใช้ตา
ซึ่งเมื่อเกิดความเชื่ออย่างนั้น
ก็จะทำให้คิดว่า
ข้อกล่าวอ้างเรื่องผลดี
ทางสมองอื่นๆนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริงไปด้วย
แม้แต่ Logo
ของทางค่ายนี้ที่ใช้โปรโมท
เป็นตัวหลักก็คือ
การปิดตาอ่านหนังสือ
นี่เอง
ดังนั้น
การที่จะกล่าวอ้างว่าการปิดตามองเห็นเป็นแค่ผลพลอยได้
ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลัก
อาจจะเป็นแค่การอ้างเพื่อเลี่ยง
ความผิดทางด้านข้อกฏหมายหลอกลวง
หรือ
ให้คนอื่นเข้าใจผิดว่า
แม้จะมองไม่เห็นแต่ว่า
ก็ยังมีผลดีทางด้านอื่น
นั้นฟังดูไม่น่าเชื่อถือ
เนื่องจากจุดขายยังหลัก
ที่เห็นได้ชัดๆ
ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
ดังนั้น
ผลดีที่อวดอ้างอื่นๆ
ซึ่งผิดหลักการทางด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์
ก็ไม่น่าเชื่อถือไปด้วย
แม้แต่จะคิดว่ามันเป็นหลักการนั่งสมาธิ
ทำให้ดีขึ้นในหลักสูตรที่กล่าวอ้างดูแล้วจริงไม่ใช่การนั่งสมาธิ
การนั่งสมาธิ
ที่ถูกต้องคือการปิดตาหรือหลับตา
อยู่นิ่งหลีกจากสิ่งเร้าไม่ใช่
ปิดตาแล้วไปทำกิจกรรมซึ่งนอกจากไม่นิ่งแล้ว
ยังเป็นการฝืนธรรมชาติอีกด้วย
อาจจะส่งผลให้เด็กที่เพ่งสายตาอย่างนั้นมีสายตาผิดปกติได้
ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง
และการฝึกสมาธิที่จะให้เกิดผล
ใช้เวลากัน
เป็นเดือนเป็นปี
ไม่ใช่
วันล่ะครึ่งชม.
สองวัน แบบนี้
สงสัยถาม :
แล้วทำไม
ยังมีผู้ปกครองบางท่านออกมาบอกว่า
แม้จะมองไม่เห็นด้วยสมองส่วนกลาง
แต่ว่า เด็กก็ยังมี
ผลดีด้านอื่นชดเชยมาได้จากการฝึก
เช่น " รู้สึก "
เหมือนลูกตัวเองเก่งขึ้น
ร่าเริงขึ้น หรือ มีสมาธิดีขึ้น
ตอบชี้แจง:
ต้องยอมรับว่า
ผลดังกล่าวเป็นเรื่องของความรู้สึก
หรือ
บางครั้งเรียกว่าอุปาทาน
หรือภาษาทางการแพทย
์อาจจะเรียกว่า Placebo
Effect หรือ
เป็นผลแค่ในแง่กำลังใจ
การเสียเงินไปเรียน
จำนวนมาก 12,000
บาทสำหรับการเรียน
แค่ 2 วัน
อาจจะทำให้ผู้ปกครองรู้สึกว่ามันน่าจะได้ผลดีมาก
ทำให้ " รู้สึก "
เหมือนว่าลูกดีขึ้น
ทั้งที่ จริงๆแล้ว
มันวัดผลอะไรออกมาไม่ได้ชัดเจนแต่อย่างใด
การที่เด็กได้ไปเล่นกับเพื่อนวันสองวันกับกิจกรรมใหม่ๆอาจจะทำให้เด็กสนุกสนานร่าเริง
ขึ้นบ้างเล็กน้อย
แต่ด้วยเวลาที่เท่ากัน
พ่อแม่ให้ความรักกับลูกทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์กับลูก
สอนให้ลูกได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง
น่าจะได้ผลดีกว่า
การอบรม
แบบนี้ด้วยซ้ำไป
ผมเองเชื่อว่าถ้าไม่มีการอ้างให้คนเชื่อว่า
การอบรมนี้
ทำให้สมองส่วนกลางสามารถมองเห็นแทนตาได้
แต่แรกคงไม่มีคนยอมจ่าย
เงินหมื่นสองเพื่อเอาเด็กไปอบรมแบบนี้
ค่อนข้างแน่นอน
คนที่ยอมจ่ายส่วนใหญ่เห็นความแปลกเรื่องนี้
เลยคิดว่าอย่างอื่นคือเรื่องจริง
ไปด้วยทั้งที่
มันขัดหลักการแพทย์
อย่างสิ้นเชิง
สงสัยถาม :
ควรที่จะเยาะเย้ย
เด็ก
และผู้ปกครองที่ส่งลูกไปเรียน
แล้วยังเชื่อว่าลูกเค้ามีความสามารถพิเศษหรือไม่
ตอบชี้แจง:
ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องนี้คิดว่า
ทางสถาบันที่อบรม
จับจุดอ่อนของคนที่มีฐานะดี
รายได้สูงมีลูกในวัย
6-12 ซึ่งเป็นวัยเรียน
ว่าพ่อแม่เหล่านี้
อยากแสวงหาความเป็นเลิศ
หรือสิ่งดีให้กับลูก
เมื่อเจอสื่อนำเสนอชักจูง
ยิ่งทำให้เกิดความคล้อยตามได้ง่าย
ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิแต่อย่างใด
คนที่เป็นพ่อแม่คนจะรู้ซึ้งถึง
ความรักที่มีต่อลูกได้ดี
จนบางครั้งจะพลาดได้
ไม่ยาก
สำหรับเด็ก
อย่างที่บอกมาตลอดเวลาว่าเด็กอาจจะทำเพราะว่าถูกสอนให้เข้าใจผิด
เราค่อยๆชี้นำแก้ไขให้เค้าเข้าใจได้ถูกต้อง
ก็จะปรับตัวได้ไม่ยาก
ไม่ควรไปล้อหรือ
ประนามเด็กเหล่านี้
อาจจะยกเว้นเฉพาะเด็กที่โตขึ้นมาในระดับนึงบางคน
ที่ทำโดยมีเจตนาร่วมกับผู้ใหญ่เพื่อล่อลวงให้คนอื่นเข้าใจผิดเพื่อผลประโยชน์
และ
อันตรายต่อสังคม
อันนี้
ควรต้องปรามและตักเตือนให้เลิกกระทำ
สงสัยถาม :
ถ้าพ่อแม่ ที่เรียน
ยังติดใจคิดว่าลูกเค้ายังปิดตาอ่านหนังสือได้จริง
จะทดสอบได้อย่างไร
ตอบชี้แจง:
ผู้ปกครองทดสอบได้ด้วยตัวเองเลยครับเหมือนที่ผมทดสอบเด็กหัวกระทิเค้าสามคน
อย่างง่ายใช้ผ้าปิดตา
ของทางโรงเรียนก็ได้
แต่
ให้เด็กอ่านที่ระดับสายตาปกติ
อย่าเอาหนังสือลงมาต่ำ
หรือ
ปล่อยให้มีช่วงที่
หนังสือหรือกระดาษที่อ่านผ่านลงมาต่ำกว่าระดับผ้า
มากจนเด็กมองลอดเฉียงได้
และอย่าให้เด็กเงยหน้ามอง
เพราะว่าจะทำให้เด็กมองเห็นลอดออกมาได้
ไม่ใช่การปิดตาอ่านอย่างแท้จริง
ซึ่งจากการที่ทดสอบมา
ในระดับสายตาปกติ
ที่มองลอดผ้าไม่ได้ไม่มีเด็กแม้แต่คนเดียวที่อ่านได้
ตรงกันข้ามเมื่อเลื่อนลงต่ำ
จนสามารถมองลอดผ้าได้เด็กกลับอ่านได้ทุกคน
ซึ่งยืนยันว่ามันคือการมองลอดผ้าที่ปิดตาออกมาด้านล่างหรือ
ทางข้างจมูกนั่นเอง
เด๋วว่างๆ
จะมาเพิ่มให้ครบถ้วนทุกแง่มุมครับ
สงสัยถามมาได้
เรายินดีตอบให้
สงสัยถาม :
ถ้าสมมุติว่า
การฝึกสมองส่วนกลาง
ทำให้มองเห็นแทนตาได้จริง
มันก็จะสามารถทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ด้วยใช่หรือไม่
ตอบชี้แจง:
สรุปสั้นๆ
อย่างที่เคยบอกไปหลายรอบว่าสมองส่วนกลางไม่ได้มีหน้าที่ในการมองเห็น
แต่อย่างใด
ดังนั้นมันจึงเป็นไม่ได้
ที่เราจะฝึกให้ใช้สมองส่วนกลางแทนตา
(รวมไปถึง
สมองส่วนกลางก็ไม่ได้เป็นตัวควบคุมความรู้
และอารมณ์
ใดๆทั้งสิ้นมันเป็นแค่ทางผ่านประสาท
หน้าที่ในการเรียนรู้
จดจำ พฤติกรรมต่างๆ
เป็นเรื่องของสมองส่วนหน้า
หรือสมองคนเราที่ใช้งานปกติทุกวันนี้เท่านั้น)
และความจริงแล้ว
ในปัจจุบันนี้
ยังไม่มี
ระบบประสาท
หรือแม้แต่อวัยวะส่วนไหน
ที่จะรับภาพแทนตาเราได้
บางคนอาจจะเคยได้ยินว่ามีการปลูกถ่ายรากฟันแก้ไขคนตาบอด
แล้วอาจจะคิดว่าเอารากฟันไปใช้รับภาพมองเห็นแทนลูกตาได้
แต่จริงๆแล้ว ไมใช่
มันแค่เป็นการทดลองเอาเซลรากฟันปลูกเลี้ยงให้ได้เซลที่เป็นแผ่นใส
เอามาใช้เป็นเนื้อเยื่อปลูกถ่าย
แทนกระจกตา(Cornea)
ที่ขุ่นมัวเสียหายจากโรคต่างๆ
แทนกระจกตาจากการบริจาค
(ในคนไข้ที่ตาบอดจากกระจกตาขุ่นเท่านั้น
)
แต่ถ้าสมมุติ
มีใครทำให้สมองส่วนกลาง
หรือส่วนไหนๆ
ตลอดจนหรืออวัยวะส่วนใดก็ได้มองแทนตาได้
แน่นอนคนตาบอดก็สามารถใชมันมองเห็นได้ด้วยโดยไม่ต้องใช้ตา
นั่นคือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ
แค่ Nobel Prize
ที่ถือเป็นรางวัลใหญ่สุด
ในโลกนี้
ก็ยังไม่พอสำหรับการค้นพบนี้ด้วยมั้ง
:)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
เรื่องการมองเห็นด้วยสมองส่วนกลางทั้งหมดนี้
มันเป็นความเข้าใจผิด
หรือ โกหก หลอกลวง
แบบผิดๆ
อย่างสิ้นเชิง
สงสัยถาม :
ถ้าทดสอบโดยการปิดด้วยผ้าของทางโรงเรียน
ที่เด็กใช้ประจำ
จนชินกับผ้านี้
แต่ยังมีปัญหาการมองลอดช่องได้
จะมีวิธีการใดแก้ไข
ให้ปิดได้มิดชิดขึ้นมั้ย
ตอบชี้แจง:
ตอนนี้
ถ้ามีเด็กทดสอบผมเอง
จะทดสอบด้วยผ้าปิดตาของโรงเรียนเค้า
แต่ว่าปิดด้วยเทคนิค
ที่คุณตัน
เจ้าของโรงเรียนเคยจะใช้ปิดตาผม
ผมเอามาลองดูเหมือนว่าจะได้ผลดี
(เรียกว่าใช้วิธีของคนรู้ทริค
จับ
คนรู้ทริคเองเลย :P)
โดยการปิด
จะเอาผ้าแถบที่ปกติห้อยลงมาข้างจมูก
แล้วมีร่องให้มองลอดนั่นแหละ
ม้วนขึ้นไปจนหมดผ้าให้เป็นแท่งผ้าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางๆราวๆ
หนึ่งเซ้นต์
อยู่ใต้ขอบผ้าแถบยาวที่ปิดตา
ซึ่งพอปิดตาลงไป
แท่งผ้านี้จะช่วยทำหน้าที่
คล้ายๆขอบแว่นว่ายน้ำที่
จะช่วยป้องกันการมองลอดลงมาด้านล่างได้
จะมีช่องเล็กมากๆตรงสันจมูก
ตรงรอยต่อผ้านิดหน่อย
ตรงนั้นเราเสริมด้วย
พลาสเตอร์ดีๆที่ระคายเคืองผิวน้อย
อย่าง Micropore
ขนาดกว้างนิ้วนึงแปะขอบผ้าตามแนวยาว
ซักสองสามชั้น
ก็น่าจะกันได้หมด
เช็คความหนาของผ้าดีๆ
และ
ป้องกันการเจาะผ้าเป็นรูเล็กๆด้วยเข็มให้แสงลอด
อันนี้ น่าจะ
ใช้ได้ดี
และตัดปัญหา
เรื่องข้ออ้าง
การรบกวนเด็กด้วย
เพราะว่า นี่คือ
สิ่งที่โรงเรียนสอน
และ ถนัดสุดของเค้าแล้ว
แต่เราเสริม
แค่ปิดช่องโหว่มองลอดแค่นั้น
วิธีนี้
ผู้ปกครองเอาไปทดลองกับเด็กๆ
เองที่บ้านก็ได้
แต่พยายามสังเกตุดูว่ามีช่องลอดตรงไหนหรือไม่
และระวังอย่าให้เด็กเห็นวัตถุทดสอบนั้นก่อน
ปิดตา