-=Jfk=-Science Corner

รวมสรุปการพิสูจน์ เรื่องการมองเห็นด้วยสมองส่วนกลาง
จากรายการเหรียญ 3 ด้าน ทางช่องPSI Chanel 7

เนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างยาว จะไล่อ่านไปเรื่อยจากด้านบนลงล่างพร้อมชมคลิป ตามไปเรื่อยๆ ก็ได้
หรือจะอ่านตามหัวข้อ ลิ้งค์ข้างล่าง ทีล่ะอัน ก็คลิคได้เลยครับ
อ่านจบ
คลิคกลับMenu ย้อนกลับมาบนนี้ได้เลย

Menu

เท้าความ ปูพื้นความเป็นมาเรื่องนี้
ได้เวลาพิสูจน์ ผ่านรายการ เหรียญสามด้าน PSI Chanel 7 (จานดำ)
ความเห็นหลังจากเทปพิสูจน์ได้ออนแอร์ไปแล้ว
FAQ ถามกันบ่อยๆ เจอใครถามที่ไหนเก็บมารวมมาตอบไว้ตรงนี้ให้กระจ่าง

รวมคลิป VDO บน YouTube

คลิป 1 รายการเหรียญ 3 ด้าน Power Mind Camp ตอนที่1 นำเสนอด้าน PMC( 25 นาที)
คลิป 2 รายการเหรียญ 3 ด้าน Power Mind Camp ตอนที่ 2 สัมภาษณ์หมอ-=Jfk=-(28 นาที)
คลิป 3 รายการเหรียญ 3 ด้าน Power Mind Camp ตอนที่ 3 ภารกิจลองของ พิสูจน์ความจริง( 26 นาที)
คลิป 4 บรรยากาศการตกลงกติกาที่ตอนแรกบอกว่าไม่มีปัญหาแต่มาอ้างภายหลัง (14 นาที)
คลิป 5 การทดสอบพร้อมข้อสังเกตุ ที่ไม่ได้ออนแอร์ทางทีวีบางส่วน( 8 นาที)

เท้าความปูพื้นความเป็นมาเรื่องนี้

ราวๆ เดือน กค.53 รายการ Tonight Show ทางช่อง 3 ของคุณไตรภพ นำเสนอเรื่องราวของ " เด็ก ที่คุณไตรภพ เรียกว่า X Men " ซึ่งเป็นเด็กที่มีความสามารถพิเศษ เมื่อปิดตาแล้วสามารถทำกิจกรรมต่างๆ เช่น อ่านหนังสือ เล่นสเก็ตบอร์ด ชู้ทบาส, เดินหาแม่ , ดมไพ่บอกเลข และ สี , ใช้ไพ่ถูหัว แล้วบอก เลขและสีได้ ตลอดจนวาดภาพระบายสี หรือ ทายสีลูกปัดหรือลูกกวาด ที่อยู่ในกระเป๋าได้

โดยการนำเสนอนั้น แนะนำว่า เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนของ Power Mind Camp ซึ่งเป็นหลักสูตรการฝึกสมองส่วนกลาง ให้ใช้งานขึ้นมา โดยเป็นหลักสูตร ระยะสั้นมาก คือ 2 วัน โดยให้ผู้ปกครองนำเด็กไปเข้าค่าย อบรมกับทางโรงเรียนรับแต่เด็กอายุ 6-12 ค่าเรียนสำหรับสองวันที่ว่า คือ 12,000 บาท โดยระหว่างการฝึกอบรมจะไม่อนุญาติ ให้ผู้ปกครองเข้ารับชมการอบรมการสอน หลังจากเรียนแล้ว ทางโรงเรียนกล่าวว่า มันจะช่วยให้เกิดผลดีต่อไปนี้

- เพิ่มระดับความจำ
- เพิ่มศักยภาพด้านกีฬา
- เพิ่มสมาธิ
- มีระดับฮอร์โมนในร่างกายที่สมดุลย์
- เพิ่มความคิดสร้างสรรค์
- ความสมดุลย์ระหว่างการใช้สมองซีกซ้าย และสมองซีกขวา
"และที่สำคัญ บอกว่า การอบรม 2 วันนี้ จะทำให้ เด็กสามารถมองเห็นได้ด้วยสมองส่วนกลางแทนตา " ตามที่กล่าวอ้าง และ ใช้เป็นจุดขายข้างบน (เนื่องจากผลข้ออื่นๆ เป็นเรื่องความรู้สึก ที่ ไม่สามารถประเมินได้ชัดเจน เนื่องจากเป็นเรื่องของความรู้สึกความเชื่อ วัดผลจริงๆเป็นรูปธรรมได้ยาก)

โดยทางโรงเรียนบอกว่าเด็กแต่ละคน จะทำได้มากน้อยต่างกันไป คนที่ทำได้ไม่มากก็ให้ไปฝึกฝนต่อที่บ้านหรือกลับมาเรียนซ้ำได้ภายหลัง หลังจากออกอากาศมีข้อถกเถียงวิจารณ์กันมากในแวดวงอินเตอร์เน็ต มีนักวิชาการ และ แพทย์หลายท่านออกมาให้ความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ และข้อกล่าวอ้างที่ว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และทางการแพทย์นั้นไม่เป็นความจริง แต่อย่างใด

ผมในฐานะแพทย์คนนึง ที่ติดตามดูรายการนั้น ก็มีความเห็นเช่นกันว่า ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆในโลกปัจจุบันนี้ ที่จะบอกว่า มีการใช้สมองส่วนกลางมองภาพ แทนตาคนเราได้ เท่าที่ดูจากทางรายการ วันนั้น และ Play DVD ที่บันทึกดูไว้หลายครั้ง พบว่า เด็กส่วนใหญ่ที่ปิดผ้า และ มองเห็นทำกิจกรรมต่างๆนั้น น่าจะมองลอดผ้าด้านล่างออกมา จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวเพราะว่าถูกสอนมาว่าการเห็นนั้นคือการมองจากสมองส่วนกลางก็ตาม
แต่ดูแล้ว เห็นช่องโหว่ที่ทำให้สงสัย
เช่นเด็กที่ปิดตาเดินหาแม่ แหงนหน้าขึ้นเพื่อให้สายตาลอดผ้าไปยังแม่ได้
เด็กที่อ่านหนังสือ เอาหนังสือลงต่ำและ เข้าใกล้ตัวให้อยู่ใต้แนวที่มองลอดผ้าออกมาได้
หรือเด็กที่ดมกลิ่นไพ่ ก็มีการแง้มไพ่ที่แม็กซ์ไว้ออกกว้าง โดยอ้างว่าเป็นการแงะให้กลิ่นออกมา แต่ว่าการแง้มนั้นมันทำให้เห็นตัวเลขบนมุมไพ่ได้

ซึ่งในเรื่องนี้ ผมยินดีเป็นตัวแทนของฝ่ายห้องวิทยาศาสตร์หว้ากอ เสนอรับพิสูจน์เรื่องนี้ให้ประจักษ์แก่คนทั่วไป โดยเพื่อยืนยันว่าเราต้องการพิสูจน์จริงไม่ใช่พูดลอยๆผมจึงเสนอว่า ถ้าพิสูจน์ว่าสามารถมองเห็นได้จากสมองส่วนกลางจริง ผมยินดีมอบค่าขนมให้น้องๆที่มาร่วมทดสอบจำนวน 1 แสนบาท และผมเองได้ทำบทความอธิบายเรื่องนี้ไว้ในหน้าเว็บเพจผม ตอนที่รายการนี้ออกอากาศไปใหม่อันนี้

ความรู้เกี่ยวกับสมองส่วนกลาง (คลิค ลิ้งค์นี้ได้เลย)

หลังจากรายการ Tonight Show ออกอากาศไปได้ ราวๆหนึ่งสัปดาห์ และมีการวิจารณ์กันอย่างมากใน อินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะห้องวิทยาศาสตร์"หว้ากอ" Website Pantip.com ผมเองได้รับการติดต่อ จากทาง ผู้ที่บอกว่าเป็น Producer ของทาง บ.บอร์นฯ เจ้าของรายการ Tonight Show ว่า ผมยินดีรับคำท้าพิสูจน์ เรื่องการมองเห็นด้วยสมองส่วนกลางหรือไม่ ตอนนั้นผมตอบรับไปว่ายินดีรับคำท้าพิสูจน์เต็มที่ แต่ว่าเมื่อถึงตอนที่ตกลงเรื่องเงื่อนไขการทดสอบ กับทางฝ่ายของ Power Mind Camp โดยผ่านทางคนกลางคือ Producer ของรายการ Tonight Show เราพบว่า เงื่อนไขที่ทางอีกฝ่ายนั้นเสนอมา มีช่องโหว่ในการทดสอบ และ ถ้าทำการทดสอบไปอย่างนั้น อาจจะผิดพลาด และกลายเป็นว่า ผมตกเป็นเครื่องมือ การันตีรับรองให้กับทางฝ่าย PMC ว่าเค้าทำได้จริงไป
เช่นการปิดตาอ่านหนังสือ ผมเสนอขอให้เป็นการอ่านจากระดับสายตาปกติ ไม่ให้เอาลงมาต่ำ ซึ่งจะทำให้มองลอดผ้าออกมาได้ (แต่ทางนั้นบอกว่า ไม่ได้เด็กไม่ถนัด ต้องเอาลงมาต่ำ ตรงกับแนวที่มองลอดผ้าออกมาได้) ซึ่งก็แปลกที่ ว่าการอ่านหนังสือทั่วไป เราวางระดับสายตา น่าจะถนัดกว่าเอาลงมาต่ำอย่างนั้น
หรือเมื่อเสนอว่าขอเอาผ้า หรือ กล่องบังหนังสือ แล้วให้ใช้สมองส่วนกลางส่งคลื่นไปอ่านตามที่กล่าวอ้างได้หรือไม่ ทางฝ่ายนั้นก็บอกว่าไม่ได้ อ้างว่ามันบังคลื่น
หรือเสนอให้อ่าน หรือดู ของในความมืดได้มั้ย ทางฝ่ายนั้นบอกว่าการที่จะเห็นหรืออ่านอะไร ต้องเป็นสิ่งที่ตาปกติมองเห็นด้วยเท่านั้น (แต่ ก็ยังเห็นบางครั้ง มีคนที่ไปเรียนกล่าวอ้างว่า มองเห็นในที่มืดได้ด้วย แต่ว่าตอนจะพิสูจน์ เค้าจะบอกว่าไม่ได้ ) และมีเงื่อนไขว่าสิ่งที่จะเอามาปิดตานั้น ห้ามปิดหน้าผาก ปิดจมูก ปิดปาก ปิดหู ให้ปิดได้แค่ตาเท่านั้น

สุดท้ายเงื่อนไขที่ตกลงกัน เกือบจะตกลงได้ให้ใช้แว่นว่ายน้ำ (Goggle ) ที่ซีลทึบสนิทปิดตาให้สนิท โดยทางนั้นห้ามพ่นสี อ้างว่า กลิ่นสีอาจจะรบกวนสมาธิเด็กได้ (จึงต้องเปลี่ยนมาหา วัสดุที่ปิดซีลได้ทึบ คือเทป Foil โลหะ ซึ่งก็ปิดได้ดีในระดับหนึ่ง )
ตอนนั้น ทางฝ่ายนั้นขอต่อรองว่าเอาผ้าปิดตาทับ อีกชั้น หรือ เอาผ้ารองอีกชั้น ได้หรือไม่ โดยอ้างว่าการปิด 2 ชั้นยิ่งปิดได้สนิท แต่ผมเองมองว่า ถ้ายอมให้ใช้ผ้ามาร่วมด้วยมันเหมือนการเล่นกล ที่พอมีผ้ารองแล้ว จะทำให้แว่นปิดตาได้ไม่สนิทอาจจะเพิ่มช่องโหว่ได้ง่าย หรือการเอาผ้าปิดคลุมทับแว่นไว้จะทำให้มองไม่เห็นว่า แว่นอยู่ในตำแหน่งที่ปิดสนิทหรือไม่

สุดท้ายที่สุดผม ได้เลือกการทดสอบที่ คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหา และปราศจากข้อโต้แย้ง คือ การล้วงลูกปัดในถุงปิด แล้วบอกสีให้ถูกต้อง โดยกรณีนี้จะปิดตาหรือไม่ หรือ ปิดด้วยผ้าที่เค้าถนัด หรือ อะไรก็ได้ตามต้องการ(เพราะว่าลุกปัดอยู่ในถุง ป้องกันการมองลอดออกมาได้อยู่แล้ว ให้ใช้สัมผัส ซึ่งเป็นหนึ่งความสามารถที่เค้าอ้างว่า บอกได้แทนตา มาทดสอบกัน ซึ่งเค้าเคยแสดงในรายการดังกล่าวมาแล้ว ให้ทดสอบ เป็นอันสุดท้าย

แต่หลังจากที่เราปิดช่องโหว่ต่างๆ แล้วนำเสนอไป ทาง Producer ของรายการที่ติดต่อกันได้ตอบกลับมาว่า ทางนั้นขอยกเลิกไม่ทดสอบเนื่องจาก ทางเราตั้งเงื่อนไขมากเกินไปทั้งที่เงื่อนไขตามที่ผมบอกไปข้างบนนั้น โดยเฉพาะการล้วงลูกปัดนั้น เป็นสิ่งที่เค้า อ้างว่าทำได้ รวมไปถึงการปิดตาด้วยแว่นว่ายน้ำ เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ก็ไม่ใช่เงื่อนไขที่จะใช้อ้างได่เลย

หลังจากนั้น ก็มีสื่ออีกหลายรายการ เช่นรายการผู้หญิงถึงผู้หญิง รายการบางอ้อ และ สื่อทางวิทยุ บางรายการ ที่นำเสนอเรื่องการมองเห็นด้วยสมองส่วนกลาง ว่าทำได้จริงออกมา ทำให้มีผู้ปกครองจำนวนมากคิดว่า เป็นเรื่องจริงเป็นความสามารถพิเศษ ที่เหนือธรรมชาติ พาเด็กไปเรียนกันพอสมควร
และเมื่อดูจากการนำเสนอ ของทาง Power mind Camp ที่ออกมาทางสื่อต่างๆ ในระยะหลังก็ดูเหมือนมีการเตรียมปรับตัว แก้เกมส์ในเรื่องการมองเห็นเช่น การนำ แว่นว่ายน้ำมาใช้ประกอบการปิดตา (แต่ยังมีการเอาผ้าซ้อนหรือ ปิดทับด้วยผ้า) ซึ่งเป็นช่องโหว่เหมือนที่เราเคยตั้งข้อสังเกตุไว้นั่นเอง

คลิคกลับเมนู

ได้เวลาพิสูจน์
ผ่านรายการ เหรียญสามด้าน PSI Chanel 7 (จานดำ)

ท่ามกลางเสียงถกเถียง และข้อสงสัย เรื่องนี้ที่ยังค้างคาใจกัน
ต้นเดือน ธค.ผมได้รับการติดต่อจากทีมงานอังกะลุง ผู้ผลิตรายการเหรียญสามด้าน ออกอากาศทาง PSI Chanel 7 ทุกวันจันทร์ 20:30-21:00 น. ที่เค้ามีทีมงานที่ติดตามข่าวสารในแวดวงอินเตอร์เน็ตด้วย ว่า อยากนำเสนอเรื่องนี้ โดยเค้าได้บันทึกเทปด้าน Power Mind Camp ไปแล้ว จะออนแอร์ในวันที่ 6 ธค.53 อยากขอสัมภาษณ์ผม ในฐานะตัวแทนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ว่าการมองเห็นด้วยสมองส่วนกลางมีจริง เป็นการนำเสนออีกด้านอีกมุมมอง ซึ่งผมก็ได้ตอบตกลง และบันทึกเทปไปในวันเสาร์ที่ 4 ธค. 53 ก่อนที่เทปแรกของ ทางฝ่าย PMC ออนแอร์ และ เทปผมได้ออกอากาศ ต่อจากทาง PMCในสัปดาห์ถัดมาคือวันที่ 13 ธค. 53 (ปกติ รายการนี้ จะนำเสนอเรื่องราว สองด้าน สองมุมให้จบในวันเดียว แต่ว่า เนื้อหาเรื่องนี้เยอะ เวลาน้อย ทีมงานเลยต้องแบ่ง ออกอากาศ แยกกันเป็นสองครั้ง แต่ติดกัน)

คลิคชมรายการ เหรียญสามด้าน ตอน Power Mind Camp ทั้งสองตอนได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง ครับ

คลิปรายการเหรียญสามด้าน Power Mind Camp ตอนที่1 นำเสนอด้าน PMC

คลิปรายการเหรียญสามด้าน Power Mind Camp ตอนที่ 2 สัมภาษณ์หมอ-=Jfk=-

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

และจากการบันทึกเทป ไปทั้งสองครั้งสองฝ่ายทางทีมงานได้เป็นสื่อกลาง เสนอว่าถ้าจัดให้มีการพิสูจน์เรื่องนี้จริง ตามที่ผมเคยเสนอไว้ ถ้าทาง PMC ทดสอบและทำได้จริง ผมยังยินดีที่จะจ่ายให้ 1 แสนบาทให้หรือไม่ ซึ่งผมเองก็ตอบรับว่ายินดีเช่นกัน โดยยื่นขอเสนอการทดสอบไปเหมือนกับที่เคยเสนอไว้ในเว็บ และ เมื่อทีมงานติดต่อกับไปทาง ฝ่าย PMC ฝ่ายนั้นก็ยินดีทดสอบเช่นกัน จึงได้มีการนัดบันทึกเทป เพื่อให้ออนแอร์ได้ทัน วันที่ 20 ธค. 53 หรือสัปดาห์ถัดจากเทปสัมภาษณ์ผม
แต่ วันที่ตกลงกันนั้น เป็นวันที่ประมาณ 7-8 ธค. ซึ่งผมกำลังเตรียมเดินทางไปดำน้ำที่สาธารธรัฐปาเลา ในวันที่ 10-16 (ก่อนเทปผมออนแอร์) ดังนั้นการบันทึกเทป ที่เร็วที่สุดคือวันเสาร์ ที่ 18 ธค. หรือหลังจากผมกลับมาจากดำน้ำวันเดียว ซึ่งแม้คำนวนแล้ว ไม่มีเวลาปรึกษากับน้องทีมงานผมที่ช่วยกันดูแลเรื่องข้อมูล และเตรียมตัวมากนัก แต่คิดว่าน่าจะทัน และ ได้ออนแอร์ต่อเนื่องจึงได้ตอบตกลงไป นัดบันทึกเทปกัน เวลา 13:00 น.-14:00น. วันที่ 18 ธค.ที่ Power Mind Camp พัทยาเหนือ เนื่องจากเค้าบอกว่าทางนั้นมีเวลาให้แค่นั้น เนื่องจากต้องมีการสอนหลังจากนั้น
ก่อนไปสารภาพว่าผมเองก็งง ว่าทำไมเค้าถึงกล้ารับคำท้าพิสูจน์ เพราะว่าถ้าคิดอย่างมีเหตุผลเรารู้อยู่แล้วว่ามันทำไม่ได้จริง น้องๆหลายคนเตือนว่าพี่หมอ ระวังเค้าเล่นทริคต่างๆนะ ผมเองก็คิดว่าตรงนั้นผมรอบคอบพออยู่แล้ว แต่ใจผมคิดว่ามีความเป็นไปได้ ที่เมื่อไปถึงผมอาจจะเจอการกดดันจากคนของทางเค้าในด้านต่างๆ หรือ เจอการต่อรองเงื่อนไขที่รับไม่ได้จนทำให้การพิสูจน์ต้องล้มเลิกไม่เกิดจริง ซึ่งตรงนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเดินทางไปพัทยาฟรีๆ ก็ได้ฝากทีมงาน ว่าอยากให้บันทึกเหตุการณ์ต่อรองทุกอย่างไว้ ถ้ามันจะต้องล้มเลิก จะได้มีเสนอให้คนดูตัดสินได้ว่าฝ่ายใด มีเหตุผลแค่ไหนในการล้ม Deal

ปฏิบัติการทดสอบ ลองของพิสูจน์การมองเห็นด้วยสมองส่วนกลาง

หลังจากผมกลับจากดำน้ำที่ปาเลา ในเย็นวันที่ 16 ก็ได้ติดต่อกับน้องทีมงานในหว้ากอ หลายคนที่ช่วยดูและเรื่องการเตรียมอุปกรณ์ ตลอดจนน้องทีมงาน จากชมรมรูบิกไทย ที่อาจจะแสดงการสาธิตการบิดรูบิค ถ้าทางรายการต้องการดูการสาธิตกฏกติกา รวมไปถึงได้รับความช่วยเหลือจาก เพื่อน ปริญญาโทนักจิตวิทยา ที่ช่วยไปสังเกตุการณ์ และอธิบายให้กับผู้ปกครองเด็กทราบประเด็นที่อยากรู้ (แต่ดูเหมือนผู้ปกครองส่วนใหญ่ในวันนั้นที่มาอยู่บริเวณที่บันทึก จะมีแต่ผู้ปกครองของเด็กที่เค้าคัดมาใช้ทดสอบ ซึ่งเป็นชุดที่เค้าใช้ออกทีวี และรายการต่างโปรโมทสถาบันเกือบทั้งนั้น อิๆ )

เนื่องจาก การบันทึกเทปจริงนั้น เอาจริงแล้ว กลายเป็นยืดยาวออกไปถึง 4 ชม. มีเรื่องราวต่อรอง และบรรยากาศมากมาย ในห้องทดสอบ ทีคนนอกไม่ได้เห็น และ ทางรายการอาจจะไม่ได้นำเสนอได้ในเวลจำกัดที่ต้องตัดต่อ เหลือแค่ 25 นาที ตรงนี้ ผมเองอยากเล่าให้น้องๆ ในหว้ากอและคนทั่วไปได้รับทราบ ข้อมูลละเอียด จึงได้ เขียนเล่าไว้ก่อนเทปนี้ ออกอากาศเพื่อเป็นจุดสังเกตุให้น้องๆได้รับทราบข้อมูล ก่อนชมรายการจริง หรือ ประกอบการดูคลิปรายการ พิสูจน์ครั้งนี้ ตามคลิปข้างล่าง

ผมและน้องๆทีมงานไปถึง Power Mind Camp ที่พัทยาก่อนเที่ยง เพื่อที่จะได้เตรียมปรึกษากันก่อนบันทึกเทปจริง ไปถึงทีมงานถ่ายทำ อยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้วแล้ว ได้รับการต้อนรับจาก คุณดรุณี หรือ คุณ ดา เจ้าของสถาบัน เป็นอย่างเป็นมิตร อันนี้ขอบคุณมากครับ พี่ดา

ตอนพบหน้ากันคุณตัน ต่อว่าผม ว่าทำไมผมด่าสถาบันหยาบคายในเว็บ เลยต้องชี้แจงกันว่า ผมเองเป็นคนที่บอกว่าไม่เชื่อเรื่องนี้ว่าจะทำได้จริง และเป็นคนท้าพิสูจน์ แต่เรื่องการใช้คำด่าหรือหยาบคายไม่ใช่ผมแน่นอน ให้ลองไปเช็คได้เลย ไม่ใส่สไตล์ผม แต่ว่าคนในเน็ตมันมีมากมาย อาจจะมีคนด่าคุณตัน หรือ ทาง PMC แต่ไม่ใช่ผมแน่นอน เช่นเดียวกับที่ ใน You Tube ของทาง PMC ที่มีคนออกมาบอกว่าผม หนีการทดสอบอ้างว่าผมจนไม่มีเงินจ่าย 1 แสน จนน้องๆหลายคนขำ นั่นผมก็ไม่ได้ฟันธงว่าทาง คุณตันหรือ PMC โพสต์อาจจะเป็นใครในเน็ตโพสต์ก็ได้

ส่วนเรื่องการท้าทดสอบ พร้อมกับข้อเสนอทำได้ ให้ 1 แสนบาท ผมชี้แจงว่า ไม่ใช่คิดว่าทาง PMC จะอยากได้ตังค์ผมหรอก แต่ว่าเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าเราต้องการพิสูจน์จริง ไม่ใช่ท้าเล่นไปเรื่อยไม่งั้น วันๆนึงคนมาท้า ให้ PMC พิสูจน์ตลอด ก็ไม่ต้องทำงานกันแล้ว ตรงนี้ คุณตัน บอกประโยคที่ประทับใจผมว่า "ถ้าผมจะให้พิสูจน์ ผมให้หมอเจพิสูจน์คนเดียว หมอเจดังที่สุดแล้ว " แต่ถ้าเด็กผมทำได้ หมอเจต้องไปช่วยแก้ข่าวใน กระทู้ ให้ผมด้วยนะ" ซึ่งผมเองตอบรับทันที พร้อมยืนยันมอบค่าขนม 1 แสนบาท ที่เตรียมไปด้วย ให้น้องๆด้วยทันที

หลังจากปรับความเข้าใจกันแล้วก็มีการแซวกันด้วยบรรยากาศสบายๆเป็นมิตรตกลงข้อกติกากัน

จากเดิม เราเสนอเงื่อนไขให้เค้าทำ 2 อย่าง คือ
1 ปิดตาด้วยแว่นว่ายน้ำที่ซีลสนิท ให้อ่านหนังสือ   แต่อันนี้บอกตามตรง ว่าแอบนึกในใจว่า คงมีข้ออ้าง และข้อโต้แย้งกันได้มากมาย จากที่เคยต่อรองกันมาหลายครั้ง เช่นซีลไม่สนิท หรือ รัดแน่นเด็กบอกเจ็บไรพวกนั้น
กับ 2 ซึ่งเป็นอันที่ผมคิดว่า น่าจะ มีปัญหาถกเถียงน้อยที่สุด และ มีทริค ที่จะแอบโดนเค้าใช้เล่นน้อย และค่อนข้างมั่นใจ  ว่าเราควบคุมได้  น่าจะเป็นกลาง และข้ออ้างน่าจะน้อย(แต่กลับคิดผิดไปเหมือนกันแฮะที่เค้ายังมีข้ออ้างมาใช้อีกเยอะ ทีหลัง)  ก็คือ การให้คลำ ทายสีลูกปัดในถุง เหมือนที่เค้าเคยเล่น ในทีวี รายการอื่น  มาแล้ว
สำหรับการทายสีลูกปัดในถุงนี่ ให้อิสระเต็มที่ จะเปิดตา ปิดตาด้วยผ้าที่เค้าถนัดหรือ จะปิดด้วยอะไรก็ได้ ตามสะดวกเพราะว่า อยู่ในถุงปิด ที่เราควบคุมตรวจสอบได้ หรือ แม้แต่ไม่ปิด ก็ยินดีให้เปิดตาคลำ ได้ ขออย่างเดียว อย่าเอาออกมานอกถุง หรือใกล้ปากถุง จนอาจจะมองผ่านได้  
กติกา ตอนแรก ที่เสนอไปคือ ถ้าทำถูกทั้ง 2 อย่าง ถือว่าเค้าผ่านการทดสอบเป็นของจริง ผมให้การสนับสนุนค่าขนม น้องๆ 1 แสนบาท (และเค้าฝากให้ ช่วยมาบอก ในเน็ตด้วยว่าถ้าเค้าทำได้ ว่าเค้าคือของจริง ซึ่งผมก็รับปาก ว่าถ้าทำได้ยินดี)
แต่วันก่อน เนื่องจากผมเองอยากให้เค้าได้แสดงออกมาได้หลากหลาย หลายอย่าง เพื่อให้เราได้พิสูจน์เพิ่ม ว่าตรงไหนคือจุด ที่คนดำเนินการรายการก่อนๆเคยพลาดมาแล้ว เราจะอุดมันได้มั้ย วันก่อนไปบันทึกเทป ก็เลยเสนอเปิดให้เค้า เลือกเล่น เพิ่มว่าปิดตาด้วยแว่นซีล  เล่น รูบิกเพิ่ม จากการอ่านหนังสือ อีกก็ได้ ซึ่งอันนี้ เป็นการเสนอ เพิ่มทางเลือกให้เค้า ทดลองเพิ่มเปิดโอกาสให้เค้าเพิ่ม เช่นพลาดจากการอ่านหนังสือ ทำอันนี้แทนได้ ก็ให้ นับว่าผ่าน เหมือนกัน
แต่ที่สำคัญ ตรงทายสีลูกปัด ซึ่งมันน่าจะมีปัญหาน้อย และถกเถียงกันน้อยที่สุด  และ ป้องกันทริคจากหลายอย่างได้ดีที่สุดเนี่ย ต้องขอให้ผ่านเหมือนเดิม ถึงจะนับว่าผ่านการทดสอบ
แต่เดิม ข้อเสนอเรื่องการทายสีลูกปัด ผมเสนอไปให้เค้า ก็คือจะใช้ ลูกปัด ลูกละสี  10 ลูก   แล้วให้หยิบทายให้ถูกติดต่อกัน 5 ครั้ง (ทายถูกชักออกไป ) โดยถ้าเปิดตาเราจะมีสีตัวอย่างให้เลือกชี้ เทียบได้  หรือจะบอกสีออกมาก็ได้แล้วแต่ถนัด  ซึ่งถ้าน้อง คลำแล้วมองเห็นเป็นสีได้จริง ก็เหมือนคนทั่วไป ที่มองเห็น ก็หยิบมาเทียบ หรือ บอกสีได้ถูกแน่นอน ร้อยเปอร์เซนต์ ไม่ว่าจะกี่ครั้ง
แต่ถ้าจะเดาสุ่มแบบหวังฟลุ้ค อันนั้น ความน่าจะเป็นที่จะถูกติดต่อกัน 5 ครั้ง ก็คือ1/30240 ซึ่งยากมากๆ  ดังนั้น ถ้าควบคุมเรื่องการทำตำหนิที่ลูกปัด  และ การแอบมองผ่านเข้าไปในถุงได้ ก็ต้องยอมรับ ว่าของจริง
แต่พอดีวันนี้ ลูกปัดที่เราเตรียมไปมีแค่ 8 สี  ก็เลยใจดีลดให้เค้า เหลือแค่ 8 สี  8 ลูก  ก็เพิ่มโอกาส ความน่าจะเป็นให้ง่ายขึ้นเป็น 1/6720 ง่ายขึ้นอีกเยอะ

ซึ่งหลังจากคุณตัน เค้าดูตัวอย่างลูกปัดแล้ว และเงื่อนไข แล้ว เราเจอลูกบลัฟ เล็กๆจากคุณตัน ว่า  "ผมกล้าบอกได้เลยว่า อย่างนี้ จิ๊บจ๊อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เด็กเค้าทำได้แน่นอน ฝึกกันมา แล้ว ทำได้สบายมาก ลูกเล็กกว่านี้ ก็ทำได้ ใหญ่ๆอย่างที่เราเอาไปให้เค้า  สบายๆๆ จิ๊บจ๊อย"  เล่นเอาน้องๆ ที่ไปด้วยกับผมเครียดเลย ว่า เค้ามาไม้ไหน แต่ผมเองยัง เชื่อมั่น กับอุปกรณ์ ที่เตรียมไป ว่า ไม่มีตำหนิ ให้เล่นทริค เลยไม่หมอบหนี ขอ ลงไต๋ ขอดู ไม่หมอบหนี (ปล.ลูกปัดที่เค้าเอาตัวอย่างมาให้ดู มีสองแบบ แบบนึงเป็นลูกปัดสร้อยขนาดเล็ก แวววาวกว่า ลูกปัดที่ผมเอาไปซะอีก และ อีกอันเป็น ลูกปัดรูปหัวใจ ที่ขนาด และรูปร่างไม่ค่อยคงที่นัก ซึ่งตรงนี้ผมบอกว่า ลูกปัดที่เด็กเค้าใช้ซ้อมกันนั้นมัน มีรูปร่างต่างกัน และมีตำหนิ อาจจะใช้สัมผัสจากมือ บอกได้ แต่ลูกปัดที่ผมเตรียมไป เช็คแล้วไม่มีตำหนิแตกต่างกันให้คลำรู้สึกได้ มีแต่สีเท่านั้นที่แตกต่างกัน

แต่ก่อนเริ่มทดสอบ ทางเค้าติ อีกนิดนึงว่า สีแดง กับ สีชมภู มันคล้ายกัน เด็กอาจจะสับสน เราอธิบาย ว่า จริงๆ แล้วมีตัวอย่างข้างนอก ที่สีเหมือนกัน วางไว้ให้เทียบชี้ เลยก็ได้ ว่าลูกไหนที่เค้าเห็น  แต่เมื่อ เค้าก็ยัง เกรงเรื่องสับสนระหว่าง แดงกับชมพู ขอตัดสีชมพูออกไป  ผมคำนวน ความน่าจะเป็นในการเดา มันลดฮวบลงมาอีก เหลือ = 1/2520 ต่อการทายแต่ล่ะครั้งให้ถูกติดต่อกัน 5 ครั้ง  น้อยกว่าเดิม เลยที่คิดไว้ สิบกว่าเท่า
แต่ ดูแล้ว มันก็ยัง ยากต่อการเดา จนไม่น่าจะฟลุ้คได้ ง่ายๆ ก็ยอม เอา ตัดเหลือ 7 สี (เหลือ สีที่ใช้ ในการทายคือ ม่วง เหลือง แดง ขาว เหลือง น้ำเงิน ฟ้า (ซึ่งสีห่างจากน้ำเงินมากๆๆ)  ซึ่งเค้าก็ แฮ้ปปี้ บอกโอเค สีชัดๆ แบบแม่สีอย่างนี้ สบาย หมดปัญหา ใช้เรียกบอกสีเลยก็ได้ ก็โอเค ตกลงกันตาม

ลองชมคลิปบรรยากาศการตกลงกติกาสบายๆ ซึ่งในนี้ จะเห็นว่าเค้าบอกเด็กเค้าทำได้ไม่มีปัญหา แต่ตอนหลังกลับอ้างหลายอย่างแต่เราก็ยอมให้ตลอดอันนี้ดูครับ

คลิปบรรยากาศการตกลงกติกา (คลิป 4)

พอจะเริ่มภารกิจแรก ด้วยการปิดตาด้วยแว่นว่ายน้ำ ที่ผมซีลไว้แล้ว เพื่อเล่นรูบิค โดยน้องเควินลูกชายคุณดา เจ้าของ PMC พอปิดด้วยแว่นกันน้ำที่ผมซีลสนิท พอลองแล้ว น้องบอกเจ็บรัดแน่นไป ทั้งๆที่น้องเค้าใส่เอง และผมดูก็ไม่ได้แน่นอะไรมากนัก ก็เหมือนเราว่ายน้ำปกติ แต่ให้ขยายออกจนหลวม พอแว่นหลวมมาก ( จนสายรัดมันหย่อน ) แล้วก็เกิดช่องว่าง ผมก็ขอขยับแน่นขึ้นอีกนิด แต่ไม่แน่นมากคือรัดแค่ให้แว่นแนบกับตาพอดี แล้วจัดตำแหน่งจนเห็นว่าโอเค ก็จะให้เริ่มบิด น้องเค้าหน้า แบบขยับยักคิ้ว ย่นคิ้ว และตา จมูกไปมา จนผมเห็นว่ามีช่องโหว่ที่ข้างจมูกตรงหัวตาให้เห็น ผมเลยบอกขอหยุด และ บอกว่าถ้าขยับอย่างนี้ มันเห็นช่องรอดอ่ะ ขอให้ไม่ขยับได้มั้ย เค้าบอกว่าไมได้ เด็กต้อง ขยับเพื่อหาคลื่นของเค้า ถึงมีช่องเด็กก็ไม่ดูตามนั้นหรอก  ผมเลยบอกว่า ถ้ามีช่องให้เห็นอย่างนี้  เด็กจะดูหรือ ไม่ ก็ตามคงใช้ไมได้แล้ว เพราะว่าถ้าทำได้ ผมเองคิดว่ามันมองลอดช่องอยู่ดี งั้ นขอผ่านอันนี้ไปดีกว่ารวมทั้งการปิดตาอ่านหนังสือ ก็คงเจออปัญหาเดียวกัน ไม่ต้องทดสอบแล้ว (อันนี้คือหนึ่งในเงื่อนไข ที่เค้าเคยต่อรองกับเรารอบก่อน ตอนจะใช้แว่น ว่าขอผ้าปิดทับหรือ รองล่าง ซึ่งเราคิดว่ามันทำให้เรามองเห็นแว่นเราได้ไม่ชัด และไม่ยอมรับ )
ระหว่างที่คุยกันนั้นเค้าบอกน้องมีกันหลายคน ความสามารถหลายแบบ เก่งไปคนล่ะทาง ทำได้หลายๆ แบบ ทางเราอยากเห็น อยู่แล้วจัดให้เป็นตัวเลือกเพิ่มให้กับเค้าอีก ถ้าทำได้นับแทนอันข้างบนได้เลย

ในที่สุดผมก็เสนอ การทดสอบอีกอันที่ เค้าเคยแสดง ในรายการ Tonight Show และ ทางเหรียญสามด้าน มาแล้ว และ เราดูจากเทปแล้ว คิดว่าทราบช่องโหว่ตรงนั้น และผมคิดว่า เราน่าจะควบคุมปิดช่องโหว่ จากการมองได้ คือการทายไพ่ ที่เค้าประกบหน้าหลัง ซึ่งตอนรายการเหรียญสามด้านไม่ได้แม็กซ์ไพ่ น้องเค้าดึงไพ่เข้าหาตัวมาใต้จมูก ซึ่งแม้จะหันหลังไพ่ก็มองเห็นลอดมาได้(ลองทำกันดูได้ครับ) หรือ ตอนออกรายการคุณไตรภพ เค้าแม็กซ์ไพ่แล้ว น้องทายถูก แต่เราพวกเราดูจากเทป เราเห็นว่าน้องแง้มไพ่ เราคิดว่าน้องอาจจะเห็นรอดจากช่องนั้น แต่เค้าก็คงจะบอกว่า แง้มอ้าเพื่อดมกลิ่น ซึ่งจากการพูดคุย ก็จริงตามนั้น เค้ารับว่าตอนดมเด็กต้องอ้าไพ่ เพื่อให้กลิ่นออกมาได้
ซึ่งอันนี้ผมก็นึกแก้เกมส์ไว้ โดยยังไม่ปิดเงื่อนไขของเค้า  ตอนแรกน้องๆ บางคนที่ไปด้วยเสนอว่าไพ่ ที่จะให้ทายควรซีลด้วยเทปกันแอบดู แต่ถ้าทำอย่างนั้น เค้าคงจะไม่ยอม หรือบอกว่ากลิ่นมันออกมาไม่ได้  ดังนั้นผมจึงใช้ แม็กซ์เย็บเหมือนกัน แต่บอกกับเค้าก่อนเลย ว่าผมไม่เย็บเหมือนรายการก่อนนะ เพราะว่าเราเชื่อว่า การที่เด็กทายได้ เด็กอาจจะเห็นเลขโผล่ที่มุมไพ่ ตอนแง้มดม แล้วเด็กเองอาจจะเข้าใจผิดคิดว่า ภาพที่เห็น นั่นมาจากการได้กลิ่น ดังนั้นการแม็กซ์ของผม ผมเน้นแม็กซ์ที่มุมสองด้านนอกตัวเลข ให้ออกมาหมิ่นจนพ้นตัวเลขออกมา(แง้มมุมถ้าไม่งัดจนแม็กซ์หลุดจะไม่เห็นตัวเลข ) ส่วนด้านบนและล่าง ด้านแคบนั่น แม็กซ์เพิ่มด้านละ 1 ตัว และด้านยาว แม็กซ์ เพิ่มด้านล่ะสองตัว (ตามรูป)
เพื่อ ไม่ให้อ้ามากจนมองเห็นดอกข้างในเวลาแง้ม  แต่ว่า มีช่องที่เหลือเปิดไว้ให้กลิ่นรอดออกมาให้ดมได้มาก พอ และ แม้จะแง้มได้ มันจะไม่เห็นดอกหรือสีไพ่อยู่ดี  
และเนื่องจากมั่นใจการเย็บ ที่ทดสอบดูเองแล้ว ว่าแง้มไม่เห็นเลขดังนั้น เปิดทางเลือกให้น้องเค้าว่า อยากจะใช้อะไรปิดตา หรือ ไม่ปิดก็ได้ ตามใจชอบ ซึ่งน้องเค้าก็เลือกจะใช้ผ้าปิดตาของโรงเรียน เราขอแค่อย่าแกะแม็กซ์หลุด ออกมา จะแง้มดมได้เต็มที่ และ แถมเพิ่มให้ว่า จะเลีย จะ ถูหัว หรือ อะไรก็ได้ เหมือนที่เห็นเค้าเคยแสดง ปล่อยให้ใช้ได้ทุกสัมผัสได้เลย

อันนี้ คือ รูปไพ่ตัวอย่างที่ผมแม็กซ์ไว้ ใบที่แม็กซ์มากสุดเต็มที่ก็แม็กซ์ตามนี้ แต่บางอันเย็บน้อยกว่านี้เม็ดสองเม็ดก็มี

ผลสรุปหลังจากน้องพยายามแง้มที่มุมหลายรอบ และแง้มมาตรงกลาง เพื่อจะดมกลิ่นทายเลข(ผมเองยืนมองมุมบนว่า จะงัดจนเห็นเลขมั้ยปรากฏว่าหลายนาทีผ่านไป น้องบอกว่ามองไม่เห็น) (ลองดูในคลิป ลองของท้าพิสูจน์ที่ออนแอร์ไปแล้วได้)

 สรุปคือหลังดมแล้วทายไม่ได้ ไม่รู้ว่าเลขอะไร ไพ่ผมเตรียมไว้สี่ชุด ถ้าผมจำไม่ผิดนะน้อง เค้าลองไปสองชุด  ผลคือไม่ผ่านทายไม่ได้ ทั้ง 2 ครั้ง ผมเลยบอกให้ทราบอีกว่า นอกจากเย็บมุมไม่เห็นเห็นเลขแล้ว ตรงด้านข้างที่ผมเย็บไว้ผมเลือกเย็บตรงที่มันจะเป็นดอกไพ่ แถวบนและล่าง ส่วนกลางเว้นว่างไว้ให้ดม
แต่การเลือกไพ่เอามาเย็บผมเลือกใช้ แต่ไพ่ 1-2-3-4-5 ซึ่งมันไม่มีดอกตรงกลางด้านข้าง เหมือน พวก 6-7-8-9-10 ที่ให้เห็นสีและเดาทายได้ง่ายขึ้น จากการดูสีหรือดอก หรือพวก JQK ที่มีขอบและดอกไพ่ออกมาอยู่ริมกว่าไพ่อื่นเห็นได้ง่าย คือเปิดช่องไว้ให้น้องแง้มเพื่อดมได้ แต่แง้มไป ก็ไม่เห็นดอกไพ่ตรงนี้ จะได้เดายาก
ตรงนี้พอเด็กทำไม่ได้ ทาง คุณตัน บอกว่า การเย็บแม๊กซ์มากขนาดนั้นมันมากไป เหมือนแปะไพ่ติดกันเลย ผมก็ชี้แจงให้ว่าเราเปิดช่องให้เยอะพอที่กลิ่นจะออกมาได้สบาย แต่จะมองไม่เห็นแค่นั้น  แต่ช่องมีมากมายให้ดม เค้าก็บอกว่า ช่องแค่นี้ไม่พอต้องเอาตัวเลขออกมาให้ดมด้วย ผมก็เลยบอกว่า ถ้าตัวเลขโผล่ออกมา มันก็จะมีตาเข้ามาช่วยมองเห็นได้แล้ว ไม่ใช่การดมแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมก็ทำให้ดูได้

สุดท้าย ยังไม่มีอะไรผ่าน และ มีข้ออ้าง ข้อแย้งตามข้างบน
แต่เพื่อ ที่จะให้เกมส์มันไปต่อได้  ผมเลยเสนอไปแบบไม่ต้องกลัวเสียตังค์ แต่อยากเห็นการทดสอบ ต่อไปให้ได้ มากที่สุด และมั่นใจในการควบคุม ได้ระดับนึง ก็เลยเสนอว่า อันอื่นที่ไม่ผ่านหรือไม่ได้ทดสอบไว้ ทาง PMC จะมีข้ออ้างอย่างไรก็ว่าไป ผมให้ข้อเท็จจริงให้คนดูได้เห็นได้ฟัง กันจาก เทป ที่ออนแอร์ไปแล้วตัดสินเอง ผมยกให้ไปหมดเลย ไม่ต้องนับ
ลดเงื่อนไขการพิสูจน์ผ่าน เอาแค่ข้อเดียวเลย ทำได้ ถือว่าผ่านให้เลย ยินดีจ่ายให้ทันที 1 แสนบาท คือขอแค่ ข้อพิสูจน์สุดท้าย คือการคลำและทายสีลูกปัด ซึ่งลดกันจาก 10 สี เหลือ แค่ 7 สีตามข้อต่อรองข้างบน  ซึ่งแม้เค้าจะบอกว่าทำได้แน่นอน " จิ๊บจ๊อย " แต่ผม ก็มั่นใจว่ามันไม่มีช่องโหว่
พอเริ่มเล่น เค้าขอคัดเลือกคนที่ว่ามีคลื่นดีที่สุด มาเล่นเราเลยบอกว่าไม่เป็นไรให้ลองมาได้หลายคน ค่อยๆเล่นก็ได้ สบายๆ  และให้ลองซ้อมก่อน ให้พอใจถ้าเล่นจริง ขอให้เล่นคนล่ะสามรอบ เพื่อป้องกัน กันตื่นเต้น จะได้แก้ตัว(แต่เอาจริงๆแล้ว ห้าหกคนที่เล่น ทั้งซ้อมทั้งเอาจริงกันคนล่ะหลายรอบ ให้เล่นกันจนเบื่อไปเลย :) )
อันนี้คือหน้าตาลูกปัดพลาสติค ที่เราใช้ทดสอบในวันนี้ คุณภาพ เราคัดมาดีหน่อย ลูกเหมือนกันเป๊ะ ป้องกันตำหนิ ขนาดโตเหมาะมือ ประมาณ ลูกชิ้นชนาดเล็กถึงปานกลาง(เซ้นต์กว่าๆ )

คนแรก ที่เข้ามาล้วง เป็นน้องผู้ชายที่เค้าคัด เข้ามาเล่น ตอนเริ่ม ผมเอากระเป๋า Prada สีดำที่ผมสะพายไป ซึ่งผมดูแล้ว มันพอดีมันมีฝาเป็นผ้าปิดด้านบนกันมองเห็นได้อีกชั้นเห็นว่าเวิร์คเลยเอาอันนี้ น้องเค้าล้วง นานมากๆ (ดูจากคลิป เห็นว่า นานถึง แปดนาที จนคนเฝ้าดูอย่างเรา จะหลับ ซะแล้ว ) จนตอนท้ายเราสังเกตุเห็นว่ามือน้องเค้าเลื่อนมาสูง จนข้อมืออยู่เกือบถึงปากถุง ตอนนั้นคุณตัน ก็มองอยู่อีกมุม และ จับฝากระเป๋าด้านที่อยู่ข้างเค้าตรงข้ามกับผม ขยับยกขึ้นแล้วย้ายที่ปิด(เหมือนให้เห็นว่าขยับเข้าที่) แต่พอผมเห็น ก็บอกว่า หยุดก่อนครับ เพราะว่าถ้า ดึงมาสูงขยับอย่างนี้ มันมองเห็นได้แล้ว และดูจากคลิป ก็เห็นชัดเจนว่ามือน้อง เลื่อนออกมาอยู่ใต้ผ้าที่คลุมไว้แล้ว พอคุณตันขยับผ้า ก็มองเห็นได้เลย
พอเราทักท้วงตรงนี้ คุณตัน ก็ไม่ได้เถียงอะไร แต่เรียกขอเปลี่ยนคนใหม่มาทดสอบแทน เราก็ยอมไม่มีปัญหา
คนต่อมาเราก็บอกเด็กแบบทีเล่นทีจริงว่าขอล้วงต่ำนิดนึงนะ อย่าเอาพ้นขอบมาเดี๋ยวคนดูหาว่าเราเอาออกมาดูข้างนอก  ก็โอเค น้องก็เข้าใจดี หลังจากลองไปซักพัก น้องทายไม่ถูก ทางคุณตัน บอกว่า ถุงดำ ข้างในมันมืดไม่มีแสง มองไม่เห็นชัด  ขอเปลี่ยนถุง เราก็นึกในใจ (อ้าว มือคลำ ทำไมต้องมีแสงด้วยล่ะ) แต่ไม่เป็นไรเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ว่ากัน ก็เปลี่ยนมาใช้กระเป๋าสีเขียวอีกใบ ที่น้องเราอีกคนเตรียมไป ลองแล้วก็ยังทำไม่ได้ เค้าก็บอกว่าขอเปลี่ยน เป็นสีขาว สีขาวจะได้เห็นชัดๆหน่อย
ถึงตอนนี้ ทีมงานเราเองเริ่มเครียดแล้ว อุปกรณ์เริ่มเปลี่ยนมือไปเป็นของเค้าแล้ว ต้องรอบครอบมาก ขึ้น ถุงที่เค้านำมา เป็นถุงผ้าดิบสีขาว ผมลองดูแล้ว เวลามองในแสงไฟจ้าๆ ที่ถ่ายทำ มันจะเห็นลูกปัดได้ลางๆ บอกสีไม่ได้ทีเดียว แต่พอจะแยกพวกสีเข้มกับสีอ่อนได้
แต่ผมลองทบอีกด้านของถุง ทับข้ามไปก็หนาขึ้นมองไม่เห็น ก็โอเค ระหว่างนั้น น้องๆก็มาลองเล่นกันต่อ พอน้องตอบผิด ทุกอย่างจะเงียบ มีผม กับ พิธีกร และคนของเค้าคอยให้กำลังใจปลอบน้องไม่เป็นไร เอาใหม่ น้องๆเค้าก็แฮปปี้ ดี ไม่มีการเครียด (คอยดูรอยยิ้มของน้องๆ ตอนออนแอร์ หรือ ในคลิปที่ผมแปะไว้) แต่ตรงกันข้าม พอมีการทายเม็ดแรกถูก หนึ่งเม็ด ข้างในคนของเค้าก็เฮ ปรบมือให้กำลังใจ
ซึ่งตรงนี้ เราก็เข้าใจ ให้กำลังใจน้องๆ  แต่พวกข้างนอก พวกเค้าก็บอกทำได้แล้วผ่านแล้วเห็นมั้ย  พวกน้องเราข้างนอกไม่รู้อะไรก็เครียดไปด้วย  แต่ผมอยู่ข้างในเฉยๆ  เพราะว่าแค่ฟลุ้ค  นานครั้งจากการเดาหลายๆครั้งอิๆ
เมื่อน้องๆเค้าเล่นกันไม่ได้ ไม่ผ่าน ทางครูเค้าก็ถามว่า ทำไมไม่เห็น หรือไม่ทราบคะ น้องคนนึงเค้าบอกว่า เวลาลูกปัดอยู่รวมกันหลายๆเม็ดมันสะท้อนทำให้แยกสีไม่ได้(แต่แปลกลูกปัดของเค้าเม็ดเล็กกว่าสะท้อนเหมือนกัน กลับบอกว่าไม่เป็นไร และก่อนเล่นก็บอกไม่มีปัญหา ทำได้แน่นอน)
แต่เมื่อเค้าว่ามีปัญหา อยู่ตรงนี้ไม่เป็นไร พี่หมอเจ เอ๊ยลุงหมอเจจัดให้ :)
"เอางี้มั้ย เดี๋ยวลุงแยกออกมาใส่กระเป๋าสูทไว้แล้ว  เอาใส่ถุงคืนให้คลำทีล่ะเม็ดๆจะได้ไม่กวนกันดีมั้ย "
น้องก็ว่าดี ก็เลยลองกันใหม่ ผลก็คือมันก็ยังไม่ผ่านอยู่ดี ตอนหลังจากเค้าไปฝึกซ้อมมาก็เลยขอกลับมาเทรวมกันใหม่อย่างเดิม(อันนี้ไม่ได้ ออนแอร์คนดูอาจจะไม่เข้าใจ แต่ดูในคลิปแนบได้ ครับ ว่าเราปรับตรงนั้นให้เค้าตามใจเค้าแล้วแต่ก็ย้งทำไม่ได้)
และมันมีจุดสังเกตุอันนึงว่า เด็กก็คือเด็ก ทำไรคิดอะไร ก็ซื่อ ๆประสาเด็ก เหมือนกัน ตอนคลำในถุงๆ คล้ายๆกันเกือบทุกคนใช้เวลานานมากเป็นนาที คลำ เพื่อแยกสี บอกสี แต่พอทายแล้ว หบิบพ้นถุงออกมาเมื่อเห็นว่าผิด บางครั้งร้องว้าผิด และบ่อยครั้งที่น้องทายบอกสีที่ถูกต้อง ได้ทันที เมื่อ มันออกมาพ้นปากถุง
เราก็เลยบอกว่า สังเกตุมั้ย เด็กบอกว่าหลายเม็ดรวมกันคลื่นกวน สะท้อนเยอะ เราก็แยกให้เป็นเม็ดๆ ก็ยังไม่ผ่าน จะว่าเป็นคริสตัล (จริง มันก็พลาสติค นั่นแหละ) ทำไมพอพ้นปากถุงออกมา อยู่ในสายตาได้ น้องเห็นทันที รู้ทันที ร้องออกมาได้โดยไม่ต้องใช้เวลาเลย หรือบางคน เอาลูกปัดวางเรียงข้างนอกเป็นแถวนอกถุงไม่มีถุงบัง แล้วเด็กจะสามารถชี้ได้ ทันทีดังนั้น ประเด็นที่ว่าลูกปัดสะท้อนมันน่าจะตัดไป ที่เด็กเห็นน่าจะเป็นการมองลอดผ้าออกมาตามที่เราสงสัยมากกว่า พออยู่ในถุงถึงไม่เห็น

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
อันนี้ขอแทรกคลิป การทดสอบ ข้างบนที่ผมบอกไว้
คลิป บันทึกการทดสอบที่ไม่ได้ออนแอร์ทางทีวีบางส่วนคลิกได้เลย

สังเกตุต้นคลิป ที่น้องผู้ชายดึงมือขึ้นมาสูงหลังจาก คลำอยู่ก่อนหน้านี้ ราวๆแปดนาที แล้ว เจ้าของเค้าขยับปากกระเป๋า ทำให้เห็นมือน้องออกมาอยู่ปากถุงซึ่งมองเห็นได้แล้ว ไม่ว่าน้องจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

น้องคนที่สอง น่ารักอารมณ์ดี คนนี้ พอดึงจากถุงออกมารู้ว่าผิดทั้งที่ไม่มีคนบอก บอกสีเองได้เลยหรือ แสดงท่าให้รู้ว่าผิด และ ดูว่าตลอดการทดสอบผมจะคอยให้กำลังใจเด็กไม่มีการกดดันเด็กแต่อย่างใด

ส่วนคนที่สามนี่คือคนที่มีการอ้างว่า ใส่แว่นว่ายน้ำ แล้วเจ็บตา จริงๆแล้วเค้าขอใส่เอง และไม่ได้มีการ รัดแน่นแต่อย่างใด และ ดูการใส่แว่นเค้าคาดสูงเหนือการปิดตาปกติ ซึ่งมันทำให้ยังคงมองลอดผ้ามาได้ และเช่นกัน สังเกตุตอนท้ายคลิป ที่ครูเค้าให้ลองบอกสีลูกปัดที่อยู่นอกถุง น้องเค้าชี้บอกได้ทันทีทุกเม็ด ซึ่งถ้าดูแล้ว ก็น่าจะมองลอดออกมาทางช่องใต้ผ้าข้างจมูกนั่นเอง

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

หลังจากลองทำกันอยู่พักนึง ทั้งจากการเปลี่ยนถุง หลายรอบ แล้ว เด็กยังทำไม่ได้ เค้าจะขอเอาลูกปัดที่เค้าเคยฝึกซ้อมกันใช้แทน เราก็บอกว่า อันนั้นมันมีตำหนิ รูปร่างไม่เหมือนกันคลำแล้วรู้สึกแยกได้ เค้าก็จะให้เราออกไปหาซื้อลูกปัดใหม่มา แต่เวลามันจำกัด และเราไม่ได้อยู่แถวนั้น คงหาให้ไม่ทัน ก็เลยชี้แจงว่าเรื่องต่างๆของลูกปัดเราแก้ให้หมดแล้วทั้ง เรื่องการที่อ้างว่ารวมกันสะท้อน ก็แยกให้เป็นเม็ดก็ทายไม่ได้อยู่ดี
ต่อมาเค้าบอกว่า งั้นขอให้เด็กเค้าเอาลูกปัดไปซ้อม กันที่อีกห้อง (ไม่ให้เราเห็น) เพื่อจะได้มีสมาธิได้มั้ย ก็บอกว่าได้ ไม่มีปัญหาให้ลองดูให้จนแน่ใจ ก็ได้ แต่ก่อนที่จะยอมให้เค้าเอาไปทดลองกันนั้น ผมขอเก็บปัด 7 ลูกที่ผมใช้ทดสอบจริงอยู่กับผมไว้ ให้น้องเค้าเอาลูกปัดที่เหมือนกัน ไปลองทดสอบซ้อมกันแทนกัน (7 ลูกที่ข้าใครอย่าแตะ ตอนข้าไม่เห็น อิๆ )
หลังจากไป ซ้อมกันราวๆ ชั่วโมงกว่าๆ เค้าก็บอกว่าพร้อมแล้ว เค้าทำกันได้เราก็บอกโอเค พร้อมแล้วมาต่อกัน เค้าบอกว่าเค้าพบสาเหตุที่เด็กทายไม่ได้แล้วว่า มันเป็นที่ตำแหน่งการนั่งของเค้าทำให้คลื่นมันสะท้อนไม่ตรง คราวนี้ปรับมาแล้ว โอเคก็บอกให้เค้าเลือกนั่งตามสบาย เลือกตามถนัดไม่มีปัญหา
ก็มาลองกันอีกหลายๆ คน คนละ หลายๆรอบ  ส่วนใหญ่ก็ผิดตั้งแต่เม็ดแรก นานๆจะถูกเม็ดแรกผ่านให้เฮ กันซักที ซึ่งต้องถือว่าต่ำกว่าการเดาเฉลี่ย คือควรถูก เม็ดแรกซักครั้ง จากการเดา 7 ครั้ง
ผมก็บอกเค้าเหมือนกัน ว่าผมเองอยากให้มีการทดสอบมากที่สุด ข้อต่อรองอันไหนที่ผมคิดว่ามันไม่ใช่ช่องโหว่ผมยอมให้หมด (ถ้าเป็นคนอื่น อาจจะต้องหยุดไปแล้ว เพราะคิดว่า เราเริ่มถูกกดดันและเสียเปรียบ(น้องๆทีมงานเรา ข้างนอกก็คิดอย่างนั้นกันแล้ว และบอกว่าพอดีกว่ามั้ย) แต่ผมเห็นว่าเค้ายังต้องการพิสูจน์  และ เรายังคุมสถานะการณ์ได้ ก็ให้โอกาสเค้า ต่อเรื่อยๆ  
เค้าต่อรอง ขอปิดไฟที่เปิดช่วยกล้องว่า แสงอาจจะรบกวนเด็ก อันนี้ไม่มีปัญหา เราชอบเพราะว่า ยิ่งแสงจ้ามัน ยิ่งทำให้มีโอกาสมองผ่านถุงผ้าได้ลางๆเดาสีเข้มอ่อนได้นิดๆ
แต่ ทดลองไปแล้ว ก็ยังไม่ผ่าน สุดท้ายคุณตัน จากที่เคยบอกผมตอนต้นรายการ ว่า " ถ้าผมจะให้พิสูจน์ผมให้หมอเจพิสูจน์คนเดียว คนอื่นไม่ให้พิสูจน์"  กลับบอกว่าเด็กอาจจะกลัวผม  (ทั้งทีเด็กคุยกับผมยิ้มแจ่มใส่ตลอด เพราะว่าผมพยายาม ชวนคุยให้น้องๆไม่เครียด)  
ซึ่งพอเค้าบอกว่าเด็กอาจจะกลัวผม ทำให้สมาธิเสีย(ผมถามเด็กกลัวลุงหมอเหรอ เด็กบอก ไม่กลัว แถมยิ้มๆอีก )
เค้าขอให้ผม แยกออกมาห่างๆ ไม่ไปอยู่ใกล้เด็กไม่ให้ถือถุงนั้น  ตอนนั้นเริ่มชั่งน้ำหนัก  การคอนโทรลต่างๆ บางอันเริ่มหลุดจากมือเราไป อยู่ในมือคนอื่น แต่ว่ายังพอยืนสังเกตุการณ์ได้  ผมก็โอเคให้คุณ อิทธิ์ พิธีกรถือถุงแทนผม  ด้วยความไว้วางใจ (ภายใต้การสังเกตุการณ์ อย่างใกล้ชิด อิๆ ) แต่ก็ย้ำคุณอิทธิ์ ว่าจุดสำคัญคือ อย่าให้มองเข้าก้นถุงได้  และ เขย่าทุกครั้ง ที่ใส่ลูกปัดไป ตอนใส่มือ น้องระวังปากถุงให้อย่าอยู่แนวสายตาที่มองเข้าไปได้ อย่าเปิดช่องโหว่ให้น้องๆเผลอมองไปเห็น และ ถ้าเป็นไปได้ตลบถุงส่วนเหลือบังให้หนาขึ้นอึกนิด เพราะว่าถึงมันบาง ซึ่งผลการทดสอบหลังจากนั้น ยังไม่ผ่านเช่นเคย
ลองกันหลายครั้ง   เด็กหลายคน ขอกลับมาลองแก้มือใหม่ ก็ปล่อยน้องเค้าให้ลองตามความพอใจ จนเวลาเลยมาถีง สี่โมงกว่าๆ ทีมงานถ่ายทำ เริ่มคิดว่า น่าจะเพียงพอกับการทดสอบแล้ว เพราะว่ายื้อกันมานานพอสมควร เปลี่ยนให้ทุกแบบแล้ว แต่ก็ยังทำไม่ได้
แต่ทาง คุณตัน บอกว่า ตอนทดสอบให้เด็กเค้าเล่นกันเอง เด็กเค้าทำได้ อาจจะเป็นว่าห้องข้างๆที่เด็กเค้าเอาลูกปัดผมไปซ้อมกัน แล้วบอกว่าเล่นเองได้นั่น คลื่นมันดีกว่าห้องนี้ ขอย้ายไปห้องนั้น
เราคิดว่าตัวแปร  เรื่องห้องเรายังสังเกตุการณ์ได้ ไม่น่ามีปัญหา ก็ยอมอีก ระหว่างย้ายขอเก็บลูกปัดไว้ในมือก่อน  ตามสูตรเดิม อย่าให้ลูกปัดที่ใช้ทดสอบอย่าให้คลาดสายตา
พอย้ายไปอีกห้อง ผลยังคงเหมือนเดิม ไม่ผ่าน

พอไม่ผ่าน อีกคราวนี้ คุณตันบอกว่า ขอทุกคนรวมทั้งผม ออกมานอกห้อง ให้มองผ่านกระจกแทน ปล่อยให้ ทีมงานถ่ายทำอยู่กับเด็กเท่านั้น เพื่อไม่ให้กดดันเด็ก
ถึงตอนนี้ ผมเริ่มกังวลนิดๆ ว่าการทดสอบมันหลุดจากมือที่เราควบคุมไปไกล และ ต่อรองเรามาตลอดจนไม่รู้จะต่อรองไรแล้ว แต่ผมดูสถานะการณ์ทั้งหมดแล้ว ผมไว้ใจคุณอิทธิ์ ที่ยังคุมเกมส์ได้เป็นกลาง เลยยอม ออกมายืนดูหน้าห้องแทน  และหลังจากลองไปอีกพัก ผลก็คือยังเหมือนเดิม นั่นคือ ทายไม่ถูก ไม่ผ่านอีก จนเวลา มันล่วงเกินมา สี่โมงกว่าเกือบห้าโมงเย็นไปแล้ว เกินกำหนดที่กำหนดไว้เบื้องต้น หนึ่ง ชม. ไปอีก สามสี่ชม.แล้ว ก็เลยต้องหยุด กันตรงนั้น

แต่จนถึงตรงนี้คุณตัน ยังคงยืนยัน ว่าเด็กของเค้าทำได้ เค้าถึงกล้าท้าเราไปพิสูจน์
ผมก็คุยกับเค้าแบบ เป็นมิตรว่าอาจจะเป็นไปได้ ที่เค้าคิดว่า ที่ทำได้ เพราะว่าเค้าไม่ได้ปิดช่องโหว่ต่างๆ ที่ควรจะเป็น เหมือนที่เรา พยายามทำหน้าที่ของเรา อย่างเช่น การที่ผ้ามันมีรูรอดได้ เราคิดว่ามองลอดได้ แต่เค้าคิดว่า เด็กไม่มอง หรือ การทายสีลูกปัด เด็กอาจจะเห็นแว๊บๆ ผ่านปากถุง แต่ เค้าคิดว่า เค้าคลำอย่างเดียว รวมถึงการแง้มไพ่ ต่างๆ
แต่เค้าก็ยืนยันว่า ไม่ใช่ เด็กเค้าทำได้ จริง แต่วันนี้ทำไมทำไม่ได้ไม่รู้ อยากลองใหม่
ผมก็บอกว่าถ้ามีโอกาส ก็ยินดี ผมพยายามทำหน้าที่ของผม ให้ดีที่สุด เพื่อให้มีการทดสอบพิสูจน์ ให้ คนดูได้เห็น
สำหรับความเห็นผม คุณตันอาจจะเป็นคนออกแนวแรงๆ บู๊ๆ นิดๆ นึง ตามไสตล์คนจีนแต้จิ๋ว เหมือนผม แต่ผมว่าผมใจเย็น มากกว่าเยอะนะ เป็นพวก แนวไม่บู๊ เน้นอารมณ์ดี เข้ารับแทน :P
แต่สำหรับคูณดา ตรงกันข้ามกับคุณตัน ค่อนข้างนิ่มนวล มากๆ
ก่อนกลับมา หลังจากหยุดบันทึกเทปและยอมรับว่าวันนี้เด็กทำไม่ได้แล้ว คุณดา เค้าก็น่ารัก เข้ามาคุยด้วย และบอกว่า ทางเราสอนปิดตาให้เด็กด้วยผ้า สอนให้มีสมาธิ ตามแบบของเรา แต่คุณหมอทดสอบตามแบบของคุณหมอ เมื่อเด็กทำไม่ผ่านก็ยอมรับว่าไม่ผ่าน อาจจะเป็นจากคลื่น มันไม่ดี หรือเด็กสมาธิ ไม่ดีก็แล้วแต่จะคิดกัน แต่ เราเน้นสอนให้เด็กปิดตาจะได้มีสมาธิ มีผลดี
ผมก็คุยแย้งไปแบบกันเองบ้างว่า คือเรื่องอื่น ที่ว่าการฝึกใช้มือซ้ายมือขวา สองข้างเป็นการฝึกสมองส่วนกลางทางการแพทย์มันไม่ใช่ สมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ทั้งสองข้างมันคือสมองหน้า หรือ ส่วน Cerebrum แต่ว่า ถ้าความผิดปกติ ในการเคลื่อนไหว มันก็เป็น สมองส่วนท้าย หรือตรง Cerebellum และ  การฝึกใช้สองข้างนี้ ไม่ได้มีหลักฐานทางแพทย์ ว่าทำให้เด็กฉลาดขึ้นแต่อย่างใด และการฝึกสมาธิที่ดี ก็ควรเป็นการปิดตาหรือหลับตา แล้วทำให้จิตสงบนิ่ง ไม่ใช่ปิดตาแต่ฝืนทำการอ่านหนังสือ หรือกิจกรรมต่างๆ
อันอื่นมันพิสูจน์ไม่ได้ ดังนั้นเราก็พิสูจน์กันตรงที่ เราเห็นว่ามันพิสูจน์ได้ ก็ลองทำกันอย่างที่เราทำกันไปวันนี้ ตามหน้าที่ของแต่ล่ะฝ่าย
อีกอย่างแอบแซวคุณตันไปนิดนึงว่า  ไอ้การฝึกสองมือ ซ้ายขวาพร้อมกัน นี่ตามตำนานบู๊ลิ้ม แล้ว มันก็ไม่ใช่ วิชาของเส้าหลิน ของปรมาจาย์ตั๊กม้อ  ตามที่คุณตันอ้าง  แต่ว่าแฟนกำลังภายในจะทราบว่ามันมาจากนิยาย มังกรหยก ที่ เฒ่าทารกจิวแป๊ะท่ง ซือตี๋ ของเฮ้งตงเอี๊ยง ปรมาจารย์ ของ สำนักช้วนจินก่า คิดค้นขึ้น  โดยเอาฝึก มือซ้าย ขวา ทำงานแยกกัน ต่อมา ก็เอามาสู้กันเองแก้เหงา ตอน โดนอึ้งเอี๊ยะซือ จับขังไว้ ที่เกาะดอกท้อ(บ๊วยฮวยเต๋า) และมาสอนให้กับก๋วยเจ๋งในภาคแรก กับ เซี่ยวเล่งนึ้งในภาคสองต่างหาก อิๆ)

ก่อนกลับคุณดา บอกอยากให้หมอ ลองดูเด็กเค้าทดสอบอ่านหนังสือด้วยผ้าปิดตาตามที่เค้าถนัดเป็นการนอกรอบ ผมก็บอกว่ายินดี แต่ก่อนอื่นบอกเลย ว่าความเชื่อผม  มันมองเห็นได้ จากการมองผ่านผ้าออกมาตรง หรือ ไม่ก็ มองลอดจากผ้าลงมาด้านต่ำ ตามร่องจมูก ดังนั้น ก่อนอื่นผมขอทดสอบมองผ้า ครูดาก็ใจดี จัดมาให้ลอง
ผมลองดูแล้วทั้งด้านตรง ด้านข้างทึบ ไม่ใช้ผ้ามายากล ดังนั้นเหลือโจทก์อีกข้อ คือ มองลอดด้านล่าง เนื่องจากเป็นการทดสอบกันนอกรอบ ก็ทดสอบกันง่ายๆ ไม่ได้ควบคุมไรมาก ผมขอแค่ว่าเดี๋ยวผมเขียนตัวหนังสือตัวโตๆ บนกระดาษ A 4 ให้น้องอ่าน โดยจะวางตรงระดับสายตา ซึ่งเป็นท่าถนัดที่คนทั่วไป ถนัดอ่านกัน แต่ถ้าปิดตา มันจะมองลอดผ้าไม่ได้ โดยขออย่างเงยหรือเอาลงมาต่ำจนพ้นขอบผ้า โอเคมั้ย ทางเค้าโอเค ก็ลองกัน แบบเล่นๆกันเอง เพื่อดูตั้งข้อสังเกตุกัน
ผลการทดสอบกับน้องๆทั้ง 3 คนที่มาทดสอบ  ออกมาเหมือนๆ กัน คือ เมื่อเขียนโดยไม่ให้แอบเห็นก่อน และ ยกมาเปิดไว้ที่ระดับสายตา การอ่านปกติที่มองลอดผ้าไม่ได้ น้องทุกคนมองไม่เห็นอ่านไม่ได้ แม้จะมีการร้องขอให้ เอามือสัมผัสกับตัวหนังสือ เพื่อช่วยให้อ่านได้ ก็ยินดีช่วยจับมือไปให้สัมผัส ก็ยังอ่านไม่ได้ อยู่ดี
บางคนอาจจะเผลอตัวพยายามเงยขึ้นจนเริ่มจะสูงจนขอบผ้าขยับมาสูงก็ต้องบอกให้หยุดเพราะว่ามันมองลอดได้
แต่เมื่อน้องอ่านไม่ได้ที่ตำแหน่งปกติแล้ว พอบอกเด็กว่าเด๋วลุงหมอจะลองทำให้อ่านได้นะ แล้ว ค่อยๆ เลื่อนลงมาต่ำจนพ้นแนวขอบผ้าลงมาด้านล่าง ซึ่งเป็นแนวสายตามองลอดออกมาได้ แล้วบอกว่า ต่ำขนาดนี้เห็นแล้วใช่มั้ยครับ เด็กส่วนใหญ่ดีใจ บอกว่า เห็นแล้ว อ่านได้แล้ว และอ่านให้ดู
ผมก็บอกกับครูดา เค้าว่าตามคาด อย่างที่บอก พอสูงระดับที่มันพ้นมุมก้มของตา เด็กทุกคนมองไม่เห็นแต่พอต่ำแล้ว มันมองรอดได้ก็อ่านได้ตามที่บอก แต่ครูเค้าก็ยังบอกว่า มันอาจจะเป็นจากคลื่นเด็กมันออกมาตรงนั้น พอดีก็ได้

เมื่อพิสูจน์ออกมาแล้ว ปรากฏว่า เมื่อปิดช่องโหว่ต่างแล้ว เด็กทำไม่ได้ ผมเองไม่ฟันธงว่า การที่เด็กบอกว่าเห็นด้วยสมองส่วนกลางนั้นเป็นการโกหกหรือ เด็กเข้าใจผิดไปเอง ว่าการเห็นนั้นมาจากสมองส่วนกลาง เพราะว่า นอกเหนือการที่จะเข้าไปรู้ใจเด็กจากการสัมผัสช่วงสั้น ผมจึงไม่เคยบอกกับเด็กว่าที่เค้าทำนั้นคือการโกงหรือการโกหก
แต่ผมยืนยันได้จากการทดสอบว่า ถ้าไม่มีการใช้ตาช่วยดูแล้ว ไม่มีเด็กคนไหนที่มองเห็นได้เลย แม้แต่คนเดียว นั่นคือสมมุติฐานที่ว่าสมองส่วนกลาง หรือความสามารถอื่นที่จะมองเห็นแทนตา นั่นไม่มีจริง และขัดกับ หลักวิทยาศาสตร์ และความรู้ทางการแพทย์ ที่ยอมรับกันทั่วโลกโดยสิ้นเชิง

วันนี้ ผมก็ได้ทำหน้าที่ของผมไปแล้ว
วันนี้ ผมยอมเสี่ยงหลายๆ จุด ยอมลดเงื่อนไข ที่เค้าต่อรองมากมาย เพื่อให้การทดสอบเกิดขึ้น และผ่านไปได้
ถ้าผมไม่ยอมยืดหยุ่นเลย ข้ออ้างต่างๆ ก็อาจจะคาใจ อยู่ทั้งหมด แต่เมื่อยอมไปขนาดนั้นแล้ว มันยังไม่ผ่าน  คนดูคงตัดสินใจกันต่อไปได้

ถ้าจะมีการทดสอบอีกครั้ง ผม อาจจะต้องขอให้เงื่อนไขรัดกุมกว่านี้ เพื่อให้ หมดข้อกังขา ตกลงเงื่อนไขการทดลองที่รัดกุม แล้วค่อยทดสอบกัน

ก่อนกลับคุณตันบอกว่า เค้ามีเด็กอ่านหนังสือจากทางท้ายด้านหลังได้ ซึ่งผมบอกอันนั้นถ้าบอกว่าทำได้ ล่ะก็พิสูจน์ง่าย ดีเหมือนกัน แค่ผมคุมเรื่องการส่งซิกต่างๆ แล้วจัดหนังสือเองโอเค สถานที่ขอเป็นกลางและสะดวกทั้งสองฝ่าย ก็ทำการพิสูจน์กันได้เลย

คลิคชมรายการเหรียญสามด้านตอน ภารกิจลองของตามลิ้งค์ได้เลยครับ
คลิปรายการเหรียญสามด้าน Power Mind Camp ตอนที่ 3 ภารกิจลองของ พิสูจน์ความจริง

คลิคกลับเมนู

ความเห็นหลังจากเทปพิสูจน์ได้ออนแอร์ไปแล้ว

แม้ว่าผลการทดสอบ ที่ออกมาทางทีวี จะออกมาชัดเจน ว่าทางฝ่าย Power Mind Camp ทำไม่ได้ตามที่กล่าวอ้าง
แต่ในส่วนของการนำเสนออาจจะเนื่องด้วยข้อจำกัด ของเวลาที่จากการทดสอบลอง ที่ลองทำกันหลายครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก มีการต่อรองมากมายอย่างที่บอกข้างบน รวมเทปที่บันทึกยาว เกือบหกชม. แต่ต้องถูกนำเสนอในเวลาที่จำกัดเพียง 25 นาทีเท่านั้น อาจจะทำให้นำเสนอได้ไม่หมด และทำให้คนดู ที่ดูรายการเข้าใจว่า การที่เด็กทำไม่ได้นั้น เป็นผลมาจากปัญหาเรื่องอุปกรณ์ หรือ มีความกดดันต่อเด็ก แต่อยากบอกว่า ปัญหาที่กล่าวอ้างมานั้น ได้รับการแก้ไขยืดหยุ่นตามข้ออ้าง และร้องขอ ของทางฝ่าย PMC ไปหมดแล้ว แต่เด็กยังทำไม่ได้จริงๆ
ตลอดจน รวมทั้งคลิปการสัมภาษณ์ ผู้ปกครองที่หลังจากเด็กทำไม่ได้แล้ว บอกว่า ไม่ชอบการทดสอบนี้เหมือนกดดันเด็ก และ บอกว่าถึงแม้เด็กจะทำไม่ได้ แต่ก็มีพัฒนาการด้านอื่นดีขึ้นนั้น ต้องฝากบอกให้คนทั่วไปได้ทราบว่า ความเห็นนั้นไม่ใช่เป็นของผู้ปกครองทั่วไป แต่ว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กชุดที่ทางเค้าคัดมา ทดสอบ ซึ่งก่อนทดสอบ มั่นใจว่าลูกเค้าทำได้แน่ มีการแซวกันว่าเตรียมกระเป๋าสตางค์มาแบ่งส่วนแบ่งกันแล้ว แต่พอเด็กทำไม่ได้ กลับบอกว่าเราไปทดสอบทำไม ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าเราทดสอบเพราะว่า ต้องการให้คนทั่วไปได้ทราบข้อเท็จจริง โดยไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝงนั่นเอง

ประเด็นที่ว่าตอนปิดเทปท้ายรายการ มีน้องคนนึง ที่ทำไม่ได้แล้วร้องไห้ แล้วบอกว่าร้องเพราะว่าเสียใจทำไม่ได้แล้ว จะโดนหาว่าโกหก และโรงเรียนจะถูกปิดไม่อยากให้โรงเรียนต้องปิดเพราะว่าโรงเรียนนี้ทำให้หนูดีขึ้น
อันนี้ ต้องบอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมทางฝ่ายเค้าต้องไปบอกให้เด็กคิดอย่างนั้นอยากจะฝากน้อง และผู้ปกครองของน้องว่า ถ้าสังเกตุดู ผมเองจะไม่บอกเลยว่าน้องโกหกหรือไม่ แต่ผมจะบอกว่า ถ้าน้องทำไม่ได้นั่นคือน้องอาจจะเข้าใจผิด หรือ ได้รับการสอนมาผิดๆ ว่าการเห็นลอดผ้าออกมาอย่างนั้นคือ การมองจากสมองส่วนกลาง คนเราผิดพลาดกันได้ แต่ถ้าผิดพลาดแล้วเรารับรู้ แก้ไข ดีกว่าปล่อยให้ผิดต่อไป โดยเฉพาะยิ่ง เราเผยแพร่ต่อให้คนอื่นได้เข้าใจไม่เข้าใจผิดต่อเหมือนเรายิ่งเท่ากับเราเป็นคนดีของสังคม

ดังนั้นผมจึงได้รวบรวม คลิปบันทึก และ เล่าเหตุการณ์ การทดสอบดังกล่าวข้างบน อย่างละเอียดมาให้ประกอบการพิจารณา ลองอ่านและคลิกชมคลิป น่าจะเข้าใจได้ดีขึ้น

คลิคกลับเมนู

FAQ ถามกันบ่อยๆ
เจอใครถามที่ไหนเก็บมารวมมาตอบไว้ตรงนี้ให้กระจ่าง

สงสัยถาม : การทดสอบแทนที่จะปิดตา ให้เปลี่ยนมาทำการทดสอบในห้องมืด หรือ ใช้ถุงผ้าคลุมหัว หรือ ใช้ผ้าบังแนวสายตา กับวัตถุ ตลอดจนเอาของใส่ ใส่กล่องปิดทึบ ให้มองทะลุแทนได้หรือไม่

ตอบชี้แจง: เคยเสนอไป แล้ว แต่ทางเค้าไม่ยอมทดสอบในห้องมืด ไม่ให้เอาของใส่กล่องปิด ตลอดจนห้ามปิดหน้าผาก จมูกหู อ้างว่าจะบังคลื่น แต่แปลกแฮะ ที่ตอนใช้ผ้าปิดตาเค้าที่ปิดอยู่กลับไม่บัง และ เค้าบอกว่าคลื่นสมองส่วนกลางของ เค้าสิ่งที่จะมองเห็น ต้องเป็นสิ่งตามองเห็นได้ แต่เค้าปิดตาแล้วยังเห็นได้เท่านั้น
ดังนั้นจึงต้องมาทำการทดสอบ โดยหาวัสดุที่ปิดตาสนิท หน้ากากดำน้ำที่ที่ซีลทึบ และปิดได้ดีกว่า จะถูกปฏิเสธเพราะว่าอ้างว่าปิดจมูก จึงต้องเปลี่ยนมาเป็น แว่นว่ายน้ำที่ซีลทึบ แต่กลับถูกต่อรองขอผ้ารอง ก่อนปิดแว่น หรือ ปิดผ้าคลุมทับแว่น แต่ว่าเราเห็นว่า การมีผ้าปิดรอง มันทำให้เราไม่เห็น ว่ามีช่องว่างระหว่างตากับแว่นหรือไม่ จึงไม่รับข้อเสนอนั้น และเมื่อทดสอบด้วยแว่นจริง ทางเค้าต่อรองไม่ให้รัดแว่นแน่น อ้างว่าเจ็บ แต่พอรัดแค่สัมผัสหน้า
ขณะทดสอบ เด็กที่ทดสอบ(ลูกชายเจ้าของโรงเรียน กลับ ยักคิ้ว ย่นตา จนเกิดช่องโหว่ เราจึงต้องชี้ ว่า ตรงนั้นมีรู ไม่ย่นคิ้ว ขยับจมูก ตา และหน้าไปมาได้มั้ย) เค้าบอกไม่ได้ ต้องขยับหาคลื่น แต่เราว่ามันขยับหารูมากกว่า เลย ต้องยกเลิกการทดสอบนี้ไปใช้การล้วงลูกปัดหรือดมไพ่ ซึ่งตัดปัญหา เรื่องการมองลอดช่องผ้า หรือแว่นไปได้แทน

สงสัยถาม : แทนที่จะปิดตา ใช้ การทดสอบ โดยให้เด็กหลับตา แล้ว ใช้สก๊อตเทป ปิดตาได้หรือไม่
ตอบชี้แจง: อย่างที่บอกไว้ข้างบน ตอนเราทดสอบล้วงลูกปัด นั้นเราให้อิสระว่า เด็กอยากปิดตา หรือไม่ก็ได้ หรือ จะปิดด้วยผ้าของ ทางโรงเรียนเค้า หรือ จะใช้แว่นก็ได้ ตามสบายทุกอย่าง เด็กส่วนใหญ่เลือกปิดด้วยผ้าอ้างว่า เพื่อให้มีสมาธิ แต่มีคนนึง ขอใช้แว่นว่ายน้ำ และพอปิดด้วยแว่น พอทำไม่ได้ออกจากห้องไป เด็กไม่ได้ว่าอะไร แต่พี่เลี้ยงตะโกนร้องบอกเจ็บตา ตาช้ำหมดแล้วเอาน้ำแข็งมาประคบตาเด็กเร็วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ประมาณว่าเราทำเด็กเจ็บตา (แต่ถ้าดูจากคลิป ที่แปะไว้จะเห็นได้ว่า เด็กขอใส่เอง และได้เจ็บอะไรเลย
ดังนั้นลองคิดดูว่าถ้าเป็นปิดเทป ติดขนตา เราจะโดนโวยขนาดไหน

สงสัยถาม : หลักสูตรการสอนของที่นี่ เป็นอย่างไร เหมือนรร.ทั่วไปหรือไม่
ตอบชี้แจง: การเรียนการสอนที่นี่ไม่ได้สอนเป็นหลักสูตรเหมือน โรงเรียนทั่วไป
ค่าเรียน 12,000 บาท ที่ว่า เป็นการอบรมแค่ 2 วันเท่านั้น โดยให้ เด็ก 6-12 ปี ที่สมัครเรียนเข้าไปอยู่ในบ้านของเค้า ในวันเสาร์ - อาทิตย์ ห้ามผู้ปกครองเข้าไปดูตอนสอน
เท่าดูและฟังจากที่เค้าเปิดเผย และฟังจากเด็กที่ไปเรียน การสอนที่อ้างว่าฝึกสมองส่วนกลาง ทำโดยการใช้มือ 2 ข้างซ้ายขวาทำงานคนล่ะอย่าง เหมือนที่เราเล่นตอนเด็กๆ ขวาเขียนวงกลม ซ้ายเขียนรูปเหลี่ยม หรือ มือขวาตบหัว มือซ้ายลูบท้อง
แล้วก็ฝีกใช้มือซ้ายขวาสลับกันไปมาแบบนั้น กับเกมส์ต่างๆ เช่นเล่นเก้าอี้ดนตรี ส่วนเวลา ที่เหลือก็คือปิดตา แล้วให้เพ่งอ่านหนังสือ หรือเดินไปตามทาง แล้วเมื่อเด็กเห็นภาพก็บอกว่านั่นคือ การเห็นจากสมองส่วนกลาง ซึ่งเราเชื่อว่าไม่ว่าเด็กจะรู้หรือไม่ก็ตาม แต่ที่เค้าเห็น เค้าดม แล้วเห็นภาพ นั่นคือ การเห็นด้วยตา ที่ลอดออกมาทางช่องว่างของผ้า นั่นคือสิ่งที่เราทำการพิสูจน์ และผลมันออกมาสอดคล้องกับที่เราทดลองทำคือ ถ้าปิดกั้นการมองเห็นจากตา (ไม่ให้ใช้ตาช่วยมอง)ไว้แล้ว เด็กไม่สามารถทำตามที่กล่าวอ้างได้ แต่อย่างใด

สงสัยถาม : การทดสอบนี้ที่เด็กทำไม่ได้ เป็นไปได้มั้ยที่ว่า เด็กถูกกดดันจากทีมทดสอบ
ตอบชี้แจง: อันนี้คือสิ่งที่เหมือนเค้าพยายามอ้าง ทำให้เราจำเป็นต้องนำเสนอคลิปการทดสอบ ที่ไม่ได้ถูกนำเสนอออกไปทางรายการและในห้องนั้น ฝ่ายผมมีผมคนเดียว (ตามที่เค้าร้องขอให้อยู่กันฝ่ายล่ะคน ขณะซ้อม) ขณะที่คนของเค้ามี อยู่ราวๆ สี่ห้าคน ผลัดกันเข้าออก ช่วยกันต่อรอง เสนอแนะ วางแผนมีการต่อรองไปตั้งแต่ให้ผมอยู่ห่างจากเด็ก กลัวเด็กกดดัน ไปจนถึง ออกจากห้อง ก็ยอมให้ตลอด แต่สุดท้ายสุดท้ายก็ยังทำไม่ได้ แต่ยืนยันว่า ไม่มีการกดดันหรือรบกวนเด็กแต่อย่างใด แม้แต่เด็กทำไม่ได้ก็คอยให้กำลังใจ ไม่มีการกล่าวหาว่าเด็กโกหก มีแต่ชี้จุดสังเกตุ ที่ว่ามันจะเป็นช่องโหว่ๆ เท่านั้น คลิคดูคลิป 5 ประกอบได้

สงสัยถาม : ผลทดสอบออกมา เด็กกลุ่มนี้ทำไม่ได้ แต่ว่าทางโรงเรียนก็บอกแล้วว่าเด็กไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกคน เด็กบางคนเรียนแล้ว ที่บ้านลองแล้วเห็นว่าทำได้ก็มี
ตอบชี้แจง: อยากจะบอกว่าเด็กชุดที่นำมาทดสอบนี้ ไม่ใช่เด็กนักเรียนที่กำลังมาเรียนทั่วไป แต่ว่า ต้องเรียกว่าเป็นชุดเก่งของเค้าเลย คือเป็นเด็กชุดที่เค้าเทรนไว้เป็นอย่างดี คัดมาแล้วว่าเป็นแนวหน้าของเค้า เป็นทีมที่ออกทีวี หลายครั้ง โดยเฉพาะน้องเควิน ที่ออกบ่อยสุดนี่คือลูกชายของเจ้าของโรงเรียนนี่เลย แต่ว่าแม้เอาชุดนี้ มาทดสอบโดยให้เลือกทดสอบซ้ำกันได้ตามถนัดหลายครั้ง แต่ถ้าเราคุมเรื่องการไม่ให้ใช้ตามาช่วยมองเห็นออกไปให้ได้เด็ดขาด ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ตามที่กล่าวอ้างเลย

สงสัยถาม : ทำไมต้องทดสอบกับเด็กที่เรียน ไม่ทดสอบกับครูที่สอนหรืออาจารย์ใหญ่ไปเลย
ตอบชี้แจง: เค้าอ้างว่าวิชานี้ จะได้ผลดีกับเด็กอายุ 6-12 ปีเท่านั้น ดังนั้นคนโตจะทำไม่ได้ดี เค้าจึงไม่ได้ทดสอบเอง แต่ถ้าเค้ายินดีทดสอบแสดงด้วยตัวเองยิ่งดี จะได้เห็นได้ชัดเจนขึ้น แต่ถ้าทำไม่ได้คราวนี้ห้ามอ้างว่า แก่แล้วมาเรียนทีหลังเลยไม่ได้ผลนะ ทดสอบมาให้ดีก่อนเลย:)

สงสัยถาม : ในการทดสอบที่ทาง PMC อ้างว่าเด็กคลำลูกปัดแล้วบอกสีไม่ได้เพราะว่าลูกปัดที่เรานำไป มันมีแสงแวววาว เป็นคริสตัล จริงมั้ย
ตอบชี้แจง: ลูกปัดที่เอาไป ถ้าเทียบความแวววาวกับลูกปัดขนาดเล็กของเค้าที่บอกว่าเด็กเค้าใช้ฝึกกันนั้น ต้องบอกว่าแวววาวพอๆกัน แต่ขนาดเราใหญ่กว่ามองเห็นได้ชัดกว่า ต่างกันแค่ ของเรารูปทรงมันเหมือนกันมากไม่มีตำหนิให้จดจำได้ ซึ่งตอนแรกพอเค้าเห็น ก็ยืนยันว่าเด็กเค้าทำได้สบายมากเพราะว่าง่ายกว่าลูกปัดที่เค้าฝึก แต่ทำไม่ได้ ก็มาอ้างจุดนี้ และ เมื่อมีการอ้างว่า ลูกปัดอยู่รวมกันสะท้อนแสง เพื่อตัดปัญหา เราก็แยกให้ทาย ทีละเม็ดไม่ให้รบกวนกันตามทีเค้าร้องขอ ก็ยังคงทายไม่ได้อยู่ดี แต่พอลูกปัดออกมานอกถุง ไม่มีถุงบัง เด็กบอกสีได้ หรือ แสดงท่าบอกให้รู้ว่ารู้ว่าผิด ทันที รวมทั้งการที่สามรถชี้บอกสีลูกปัดที่อยู่นอกถุงได้ ทันทีถ้าเอามานอกถุงวางเรียงไว้ ทำให้ข้อสันนิษฐานที่เราบอกว่า เด็กน่าจะมองลอดจากผ้ามาได้ นั่นยืนยันมากขึ้น คลิคดูคลิป 5 ประกอบได้

สงสัยถาม : ผ้าแดงที่ทางโรงเรียนใช้ปิดตา เป็นผ้ามายากลมองทะลุผ้าออกมาได้หรือไม่
ตอบชี้แจง: เท่าที่ลองทดสอบดูแล้ว ผ้าที่ปิดตาที่ทางโรงเรียนใช้นั้นเป็นผ้าปกติสีแดงทึบหนาพอที่จะปิด แล้วมองทะลุไม่ได้ แต่การปิดนั้นเมื่อผ้าปิดแนบไปกับตาแล้ว เนื่องจากคนเรามีช่องว่างระหว่างตากับจมูกซึ่งช่องเล็กๆนี้ คนเราสามารถมองลอดลงมาได้ และเท่าที่ทดสอบก็พบว่าเด็กทุกคนที่ใช้ผ้าปิดตา ในการอ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมทุกอย่าง จะต้องเอาสิ่งของนั้นลงมาต่ำ กว่าแนวที่มองลอดได้นี้ทั้งสิ้น หรืออย่างน้อยก็ต้องให้ผ่านมาแนวนี้ให้เห็นก่อน ถ้าไม่ได้เอาลงมาต่ำ กว่าแนวลอดช่องนี้ จะไม่มีใครเห็นได้เลย แม้แต่คนเดียว

สงสัยถาม : ถ้าผู้ปกครองที่มีเด็กไปเรียนกลับมาแล้วพบว่า ลูกปิดตาอ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมต่างๆได้ อยากพิสูจน์ว่า สิ่งที่ลูกทำนั่น เห็นจากสมองส่วนกลางหรือ มองลอดผ้าจะทดสอบด้วยตัวเองได้อย่างไร
ตอบชี้แจง: ทดสอบง่ายๆ โดยการให้เด็กปิดตาด้วยผ้าทางโรงเรียนก็ได้ให้แน่นพอ แล้วลองให้อ่านหนังสือ หรือ คลำหรือทายสี สิ่งของต่างๆโดยอย่าให้นำของนั้นลงมาต่ำกว่า แนวผ้าที่ปิดตา คืออยู่ในแนวสายตาปกติ หรือ อย่าให้เด็กเงยหน้าขึ้นเพื่อให้มองลอดผ้ามาได้ จะพบว่าถ้าไม่เปิดโอกาศให้เด็กมองลอดช่องผ้าลงมา แล้ว จะไม่มีโอกาสทายถูกได้เลย (เหมือนที่เราทดสอบกับเด็กที่ถูกฝึกและคัดมาอย่งดีของเค้าแล้วสามคน ในการไปทดสอบครั้งนี้)
กรณีที่เป็นการคลำวัสดุพวกลูกปัดต่างๆ ต้องแน่ใจว่า ลูกปัดนั้นไม่มีตำหนิที่คลำแล้วสังเกตุความแตกต่างได้

สงสัยถาม : ถ้าเด็กที่เคยคิดว่าตัวเองทำได้ แล้ว เมื่อผู้ปกครองทดสอบแล้วพบว่า เป็นการมองลอดผ้าจะทำให้เด็ก เกิดความอาย หรือ คิดว่าตัวเองผิดหรือไม่
ตอบชี้แจง: การที่เราพบความจริง ว่าสิ่งที่เด็กทำนั้นไม่ใช่การมองเห็นด้วยสมองส่วนกลาง แต่เป็นการเห็นลอดผ้า เด็กอาจจะไม่รู้ตัวหรือ ไม่ก็ตามว่า เค้ามองลอดผ้า แต่เมื่อเราพบว่าความจริงมันเป็นเช่นนั้นการอธิบายให้เด็กรู้ความจริง(ไม่ใช่การต่อว่าว่าเด็กโกหก) จะทำให้เด็กได้รับทราบความจริง แม้จะทำให้อายหรือ ขาดความมั่นใจ ในระยะแรก แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เด็ก เข้าใจผิด กลายเป็นการหลอกคนอื่น และ หลอกตัวเองต่อไป และที่สำคัญ ยังได้ช่วยทำประโยชน์ให้คนอื่นไม่ต้องเข้าใจผิดต่อไปด้วย

สงสัยถาม : แม้ว่าจะพิสูจน์ว่าการฝึกสมองส่วนกลาง แบบนี้ จะไม่ช่วยให้มองเห็นแทนตาได้ แต่การฝึกแบบนี้ก็เป็นการฝึกสมาธิให้ดีขึ้น เด็กเก่งขึ้น สมาธิดีขึ้นไม่ใช่
ตอบชี้แจง: การฝึกสมาธิเป็นเรื่องดี แต่การฝึกสมาธินั้น ทำโดยการการให้นั่งหลับตา หรือปิดตา ปล่อยใจให้สงบปราศจากสิ่งรบกวน แต่สิ่งที่ทาง PMC สอนคือการปิดตา แล้วให้ทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งไม่ใช่การนั่งสมาธิ และเป็นการฝืนธรรมชาติ ปิดตา และอ่านหนังสือ ลอดออกมาทางผ้าอย่างนั้นส่งผลทำให้กล้ามเนื้อตาล้า และ มีผลเสียต่อสายตาในระยะยาวได้ด้วยซ้ำ
ตลอดจนการฝึกใช้มือ สองข้างซ้ายขวา นั่นก็ไม่ใช่การฝึกสมองส่วนกลาง(Mid Brain) การเคลื่อนไหวของมือ และแขน รวมทั้งเรื่องการทรงตัวเป็นหน้าที่ของสมองCerebrum ในสมองส่วนหน้า และ สมองส่วน Cerebellum ในสมองส่วนท้าย และ รวมไปถึงการที่พบว่าการฝึกห้ดให้คนถนัดมือสองข้างก็ไม่ได้มีหลักฐานทางการแพทย์แต่อย่างใดว่า จะทำให้คนนั้น มีความสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ โดยเฉพาะในเวลาแค่สองวัน

สงสัยถาม : แล้วในทางวิทยาสตร์ และทางการแพทย์ มันมี การรับภาพเข้าสู่สมองด้วยคลื่นทางอื่นนอกจากทางตาหรือไม่ โดยเฉพาะ การใช้สมองส่วนกลาง
ตอบชี้แจง: ตอบสั้นๆ ไม่มี
สมองส่วนที่รับรู้การเห็นภาพ หรือการมองเห็นคือสมองส่วนหน้าในส่วน Occipital Lobe ไม่เกี่ยวข้องกับ สมองส่วนกลาง (ที่มีเพียงเส้นประสาท ที่ใช้กลอกตาบางคู่ เท่านั้นที่ ผ่าน) ตลอดจนการรับภาพ ของสมองเป็นการรับแสงและสีในรูป ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เข้าไปยังเซลประสาทตา ไม่ใช่คลื่นแบบคลื่นน้ำ ซึ่งเป็นคลื่นกล ตามที่เด็ก ลูกชายเจ้าของสำนักกล่าวอ้างว่าเห็นอย่างนั้น

สงสัยถาม : ถ้าการฝึก สมองส่วนกลาง อย่างนั้นไม่สอดคล้องกับหลัก วิทยาศาสตร์ และหบักการแพทย์ แล้ว ข้ออ้างที่ว่าเป็นวิชามาจากสำนักเส้าหลินล่ะ เป็นไปได้มั้ย
ตอบชี้แจง:
ในฐานะคอ หนังสือกำลังภายในที่ติดตามมาตั้งแต่กิมย้ง ยัน โกวเล้ง อึ้งเอง เลยว่า ในส่วนของสำนักเส้าหลินหรือเสียวลิ้มยี่ ของปรมาจารณ์ตั๊กม้อ นั่น ไม่มีกล่าวถึงการใช้สองมือฝึกวิชา ให้เกิดตาทิพย์ อย่างที่ว่า จะมีก็แต่ วิชาสองมือต่อสู้กันเอง ของ เฒ่าทารก จิวแป๊ะท่ง แห่งสำนักช้วนจินก่า ที่คิดค้นแก้เหงาตอนโดน อึ้งเอี๊ยะซือ ขังไว้ที่เกาะดอกท้อ และ ถ่ายทอดต่อให้ก๋วยเจ๋ง ในมังกรหยกภาคหนึ่ง กับ เซียวเล่งนึ้ง ในมังกรหยกภาคสองเท่านั้น และที่สำคัญ มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดตาทิพย์ด้วย :P

สงสัยถาม : จากในรายการทีวีที่ออนแอร์ไป ดูเหมือนผู้ปกครองหลายคน แม้ลูกจะทดสอบไม่ผ่าน แต่ก็ยังคิดว่าลูกทำได้แต่ว่า เป็นเพราะว่าความกดดัน จริงหรือไม่
ตอบชี้แจง: อันนี้ตอบแทน เค้าไม่ได้ แต่ให้ข้อมูลได้แต่ว่า ผู้ปกครองที่ให้สัมภาษณ์ ในวันนั้นคือ ผู้ปกครองของเด็กชุดที่ทางโรงเรียนจัดไว้ เป็นชุดเก่งเป็นทีม ประจำของเค้าดังนั้น เค้าจะให้สัมภาษณ์ ว่าแม้ทำไม่ได้ เค้าก็ยังชื่นชมไม่แปลก แต่ผมเชื่อว่าคนดูส่วนใหญ่ที่ติดตาม และคิดตาม เมื่อทราบข้อเท็จจริง แล้ว คงอาจจะเอาไปสังเกตุ และตัดสินใจ ด้วยตัวเองเพิ่มได้

สงสัยถาม : ทำไมเรื่องที่ดูเหมือนน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆแบบนี้ว่ามันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ยังมีคนคิดว่าเป็นเรื่องจริงๆ
ตอบชี้แจง: อันนี้เป็นจุดอ่อนอันนึงของสังคมไทย ที่ อยากให้ลูกได้สิ่งดีๆ โดยบางครั้งลืมมองข้ามความเป็นจริงและเป็นไปได้ไปหมด อย่างวันที่ไป มีน้องๆทีมงานที่ไปด้วยได้คุยกับผู้ปกครองเด็ก ที่กำลังมาเรียนอีกคน (ไม่ใช่ชุดที่มาทดสอบ ) ว่านึกอย่างไร ถึงพาลูกมาเรียน เค้าบอกว่าตอนแรกก็ไม่คิดจะมา แต่เพื่อน บอกว่า " เงินแค่ หมื่นสองให้ลูกไม่ได้เหรอ งก " กลัวเพื่อนหาว่า งกเลยพามาเรียน ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้

คลิคกลับเมนู

มีปัญหาเพิ่มเติม เมลล์มาคุยกันได้ ครับ
jfk@2jfk.com
Back to -=Jfk=-Science Corner
www.2jfk.com