Ducati Monster 795 (Asian Model)
หลังจากจดๆจ้องๆ
อยากเป็นสาวก Ducati
มานาน
แต่ไม่ได้ฤกษ์ซักที
ในที่สุด ก็ได้ฤกษ์
ถอย Ducati
ออกมากับเค้าซักที
เป็นตัว ยอดฮิต
ตอนนี้ คือ M795
Ducati Monster 795 (Asian Model) เป็นรถ
ที่ทาง Ducati
ย้ายฐานการประกอบ
จากอิตาลี มายังประเทศไทย
โดยเลือกเอารุ่น Monster
795 ซึ่งเป็น
รุ่นพิเศษ
ใช้โครงสร้าง
และตัวถัง
เดิมที่ใกล้เคียงกับ
Monster ตัวเล็ก คือ M696
แต่จับเอาเครื่อง
ของ 796
ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า
คือ 803 ซีซี มาใส่แทน
และ ปรับความสูงของ
เบาะให้ต่ำลง 2 ซม.เพื่อให้เหมาะกับ
คนเอเชียไซซ์เล็ก
สูง 160 กว่าๆ ถึง 170
อย่างๆ เราๆ
ผลพลอยได้ ของการ
ที่นำมาประกอบในไทย
และปรับลดอุปกรณ์บางอย่างลง
ส่งผลให้ M 795 ตัวนี้
ราคาลดลงมา ต่ำกว่า
M796 ABS
ซึ่งเคยมีราคาอยูที่
658000 บาท กว่า 2.5 แสน คือ
ลดลงมาเหลือแค่ 399990 (สี่แสนทอนสิบบาท
)
แต่ถ้ารวมค่าจดทะเบียน
อีก 3500 กับ ประกัน
อีกราวๆ หมื่นบาท
ก็เท่ากับว่า เกิน 4
แสนไปพอประมาณ
แต่ว่า
ตั้งราคาอย่างนี้
ก็ทำให้
ราคาตั้งมันไม่ถึง
สี่แสนดูแพงน้อยลงไปนิด
และก็ได้ผลซะด้วย
คนจองกันออกไปหลายร้อยคัน
จนตอนนี้คิวส่งมอบ
อยู่กว่า หกเดือน
จนทาง Ducati
กำลังหาทางเพิ่มกำลังการผลิตและส่งมอบให้ไวขึ้น
ผมเอง
จริงๆกำหนดได้รับรถ
ตั้งแต่ 22 ธค. 54
แต่ว่า
เค้าโทรมาบอกนั่น
วันที่ 23 ธค. ถึง 3 มค.
ติดไปปีนเขาคีลีมานจาโล
เลยขอสละสิทธิ์
คิวนั้น
ให้คนอื่นไปก่อน
แล้วเลื่อนเค้ารับรถออกไป
เป็นล้อต มค.แทน
ซึ่ง ดีเดย์
เค้านัดเริ่มส่งมอบ
ล้อตนี้ 25 คัน
ในวันที่ 19 มค.
แต่ว่า
สะดวกวันเสาร์ ที่ 21
เลย นัดเข้าไปรับวันนั้นแทน
ไปถึง ศุนย์
สายๆวันเสาร์
เจอฝูงมอนซ์เตอร์จอด
เรียงรอเหลือส่งมอบอีกหลายสิบคัน
หลังจากรอคิว
จิบกาแฟ
และทำหนังสือส่งมอบรถ
และคู่มือการใช้งาน
อีกสามเล่ม
แล้วก็มาตรวจสอบ
รถพร้อม
รับคำแนะนำเรื่องการใช้งาน
เบื้องต้น
หลังจากนั้น
ก็พร้อม ออกเดินทาง
กัน
วันรับรถแอบเอา
หมวก Shoei Quest ที่ถอยมาหมาดๆ
คืนก่อนวันรับรถติดมาลองรถด้วยเลย
ออกจากศูนย์
Ducati ทองหล่อ
เป้าหมายต่อไป
ก็คือ ไป MPK
ร้านอุปกรณ์ตกแต่งของคุณ
Joke เพื่อนในคลับ Monster
ที่พระราม 3
พอออกจากไฟแดง
ทองหล่อเข้า
สุขุมวิท
ตัดโค้งออกมา
อยู่ขวานิดๆ
ยังไม่ทันได้เข้าชิดซ้าย
เจอพี่ตำรวจ
ใจดีกำลังตั้งด่าน
ตรวจโบกเรียก
คุยกับพี่เค้าดีๆ
ว่าเตรียมเข้าแล้ว
แต่ยังไม่ทัน
เค้าถามไปไหน
บอกเค้าออกจากศูนย์
เอารถไปแต่พระราม 3 แล้ว
กลับ คอนหวัน
เค้าก็บอกโหไปไกล
รถสวยดี ขับในกทม.ช้าๆ
นะคับ แล้ว
ก็ยิ้มให้ ขอบคุณครับ
ดาบ :P
ไปถึง พระรามสาม 3
แบบสบายๆคล่องตัว
แต่เครื่องร้อน
ตอนติดไฟแดง นิดนึง
เอ๊ะ หรือ ร้อนพอสมควร
( จริงๆ
อยากจะบอกว่า
ร้อนชิบเป๋ง อิๆ )
ไปถึงร้าน
เลือกของแต่ง
เบื้องต้นที่จำเป็น
แค่ไม่กี่ชิ้น
ได้แก่ กันล้ม ของ
Rizoma ทั้งชุดสามชิ้น
อันนี้กันล้มหน้า
(แอบเห็น คาลิปเปอร์
Brembo ซึ่งด้านหน้า
เป็น Twin Disc Brake เบรคคู่
เบรคได้ดังใจ )
ส่วนอันนี้กันล้มหลัง
ติดกับแกนล้อเช่นกัน
ปั๊มเบรคหลังเป็น
Brembo เช่นกัน แต่เป็น Disc
เดี่ยว
ส่วนกันล้มเครื่อง
ของ Risoma
เป็นแบบแกนหลักร้อยยาว
ส่วนตัวปุ่มกันล้ม
เป็นก้านยื่นออกมาให้ปรับมุมได้ตามชอบ
ตอนตัดสินใจเลือกอันนี้ก็คิดว่าดี
สวยๆ และปรับมุมได้
และมีอะไหล่เปลี่ยนปุ่มเวลา
Slide ได้ เลยยอมจ่ายแพง
ขึ้นอีก
สามสพันกว่าบาท
จากรุ่นปกติ
แต่มานึกอีกที
ปุ่มกันล้ม
นี่ถ้าให้ดี
มันควรจะมั่นคงยึดแน่น
การที่ปรับเปลี่ยนมุมได้
โดยการอัดน้อตขันแบบนี้
ถ้าล้มจริงมันคงเลื่อนเปลี่ยนมุม
อาจจะไม่มั่นคงแข็งแรง
เหมือนแบบธรรมดาที่ยึดติดแน่นกว่า
แถมประสพการณ์ตรงจากเพื่อนที่เคยใช้
ยังบอกว่ากันล้มแบบนี้
หัวมันขันเกลียวเปลี่ยนได้ไม่ยาก
ทำให้โดนถอดติดมือ
หายไปได้ง่ายๆ
เช่นกัน ใครจะติด
กันล้มลองพิจารณาในข้อนี้ด้วยครับ
:P
ส่วนอีกชิ้นที่ติดเพิ่มมา
คือ Windshiled หน้าของ Puig
สี Dark
ซึ่งแม้จะไม่ได้กันลมได้เต็มๆเหมือน
วิลด์ชิลด์
รถสปอร์ต ทั่วๆไป
แต่ก็ช่วยลดลมประทะตัวเวลาขี่เร็วๆ
ได้พอสมควร
ทำให้เหนื่อยน้อยลงไปหน่อยสำหรับ
Naked พวกนี้
สังเกตกระจกมองหลัง
ที่มีขนาดใหญ่ยื่นออกมาพอมาพอสมควร
ตัวโครงกระจกยึดติดตายกับ
แฮนด์
การปรับมุมกระจก
จะปรับได้ที่
ตัวเนื้อกระจกภายใน
เหมือนกระจกมองข้างรถยนต์
ก็ดูสวยดี เห็นหลังได้ชัด
แต่ต้องระวังเกี่ยว
กระจกรถข้างๆ
เวลาแซง
หรือซอกแซกที่แคบต้องเผื่อไว้
ด้วย
หลังจาก
ติดกันล้ม และ Wind Shild
เสร็จ ก็ได้ฤกษ์
ลองขี่กลับ บ้าน
ระยะทาง อีก 200 โล
สำหรับรถที่ยังอยู่ในรันอิน
เค้าแนะนำให้ใช้
รอบเครื่อง ระหว่าง
5000-6000 รอบ
ผลการทดลองใช้งาน
ในเมือง และ
บนไฮเวย์
การใช้งานในเมือง
สำหรับ M795 ตัวนี้
น้ำหนักตัว รถปล่าว
160 กว่าโล
หรือน้ำหนัก
รวมน้ำมันเต็มถังพร้อมใช้งานแค่ราวๆ
180 กก.ถือว่าค่อนข้างเบาสำหรับรถ
800 ซีซี 87
แรงม้าคันนี้ และ
ความสูงเบาะแค่ 770 มม.นี่คนสูง
170
ช่วงขาไม่ยาวอย่างผม
ยืนเต็มฝ่าเท้าได้สบายๆ
ดังนั้น คนสูงแค่ 160
นิดๆ ก็ขี่คันนี้ซอกแซกในเมืองได้สบายๆ
ไมต้องกลัวพับ
ผมเองว่ามันคล่องตัวมากทีเดียว
ยกเว้น 2
ปัญหาเท่านั้น
สำหรับการใช้งานในเมืองเวลารถติด
1 กระจก
มองข้างที่ยื่นออกไปพอดีกับปลายแฮนด์
ขนาดใหญ่ และสูง
ตรงกับตำแหน่งใกล้เคียงกับกระจกมองข้างของรถยนต์
ดังนั้น
ถ้าติดไฟแดง หรือ
แทรก
แซงไปตามช่องรถติด
ต้องกะระยะเผื่อไว้พอสมควร
แต่ว่า
เวลาขี่บนไฮเวย์
ผมว่ามันให้มุมมอง
ที่ดีมากทีเดียว
และปกติผมใช้รถเพื่อออกทริป
หรือ
ขี่ต่างจังหวัด
เป็นหลักมากกว่าการใช้งานในเมือง
รถติดอย่างกรุงเทพ
ดังนั้นจึงยังไม่คิดจะเปลี่ยน
เป็นกระจกปลายแฮนด์เล็กๆ
เหมือนที่เค้าฮิตกัน
อ่ะ
2 เวลาติดไฟแดง
รถจอดไม่ได้วิ่ง
เครื่องยนต์ที่ระบายความร้อนด้วยอากาศ
ร้อนมากๆๆ
ร้อนขนาดใส่กางเกงยีนส์
ยังร้อนด้านในขา
มากทีเดียว
ผมว่าร้อนกว่า
ฮาร์เลย์ที่ผมใช้มาทั้งสามคัน
ซะอีก อิๆ
บางทีรถติดนาน
แนะนำว่า
ดับเครื่องไปก่อนเลย
จะดีกว่า
แต่ถ้ารถวิ่งล่ะก้อ
สบายมาก
ไม่รู้สึกร้อน
พอหลุดจากรถติดในเมืองขึ้น
วิภาวดี
และสายเอเชียตอนเย็นๆ
เกือบค่ำ
พอมีช่วงถนนว่าง
ก็ได้ลองความเร็วบ้างพอสมควร
การควบคุมบังคับรถง่ายๆ
ไม่ยากท่านั่งไม่เมื่อย
ความเร็วที่ระดับ 160
กม/ ชม.
ก้มเล็กน้อยชิลด์หน้าบังลมให้ขี่ได้สบายๆ
ไม่เหนื่อย
หมวก Quest น้ำหนักดี
ไม่หนักมาก กระชับ
ระยายอากาศได้ ดี
ไม่โต้ลม
เสียงไม่ดังนักโอเคเลยทีเดียว
ขี่รวดเดียวกลับบ้านโดยไม่ได้แวะที่ไหนเลย
สองร้อยกว่าโล
สบายๆ
ไม่เหนื่อยไม่ล้า
ไม่เมื่อย ไม่เครียด
แม้ตลอนๆมาทั้งวันกับมันในเมือง
ตอนก่อนออกจากศุนย์
ทางศูนย์เติมน้ำมันมาให้เกือบเต็มถัง
ซึ่งผมว่า
เป็นอะไรที่
ให้ความรู้สึกดีกับลูกค้า
พอสมควร ดีกว่า
พวกที่ขายรถราคาหลายแสน
แต่เติมน้ำมันติดถังพอให้แค่วิ่งไปถึงปั๊มป์
แล้วเติมเอง
จริงๆแล้ว
จะบวกเพิ่มไปในราคา
ก็ไม่กว่ากัน
ดีกว่า
ปล่อยให้เห็นไฟ
น้ำมันReserve ตั้งแต่ออกจากศูนย์
ให้ลูกค้าเสียความรู้สึก
และลุ้นระทึกว่าถึงปั๊มป์มั้ย
อิๆ
แต่พอจะใกล้ถึงบ้าน
ไฟเตือนน้ำมันสำรองติดขึ้น
(ตามคู่มือบอกว่า
ไฟจะติดเมื่อเหลือน้ำมันสำรองประมาณ
3.5 ลิตร)
ปกติหน้าปัด แสดงผล
ด้านล่าง ซ้าย
เราจะเลือกให้แสดงผลไว้ได้สามอย่างคือ
1 แสดง ตัวเลข TOT หรือ
ระยะทางที่รถวิ่งมารวมทั้งหมดตั้งแต่ผลิต(Odometer)
หรือ
2 Trip Meter
3 นาฬิกาบอกเวลา
แต่เมื่อไฟเตือนน้ำมันสำรองติดขึ้น
หน้าปัดนี้ จะแสดง
ฟังชั่นที่ 4
ขึ้นมาเองอัตโนมัติ
คือ Fuel Trip
บอกระยะทางที่
รถนี้วิ่งไปโดยใช้น้ำมันสำรอง
เพื่อจะได้รู้ว่า
น้ำมันสำรองใกล้หมดแค่ไหนแล้ว
ตามการขับขี่
ก็สะดวกดีเหมือนกัน(ตอนแรกคิดว่า
จะต้อง กด Trip Meter Set 0
คอยจับระยะทางเองซะอีก
)
หลังจากไฟน้ำมันสำรอง
ติดขึ้นผมขี่ต่อกลับมาบ้าน
ระยะทาง 16 กม.แล้วแวะเติมน้ำมันเพิ่ม
เติมไปได้ 13 ลิตร
ก็เต็มถัง ทำให้
ชักสงสัย
ที่ตอนแรกเค้าบอก
ว่าถังน้ำมันจุ 18
ลิตร เป็น Reserve 3 ลิตร
แต่ถ้าตามสเป็คในคู่มือ
บอกว่าความจุถังน้ำมัน
15 ลิตร (สำรอง 3.5)
ดังนั้น
น่าจะเป็นว่า 15 ลิตร
นี่รวม
น้ำมันสำรองด้วยแล้วมากกว่า
อัตราการสิ้นเปลืองรอบแรกไม่ได้บันทึกไว้
เพราะว่า
ไม่แน่ใจว่า
ตอนศูนย์
เติมน้ำมันมาให้เกือบเต็มนั่น
จริงๆแล้ว
เติมมาเท่าไรแน่
แต่วิ่งไปได้ 230
กว่าโลแรกก่อน
จะเข้าเติมน้ำมัน
แต่ทริปต่อมา
เอาเข้าเมืองไปอีกรอบ
หลังจากเติมน้ำมันเต็มถัง
วิ่งไปได้ 159 กม.
แวะเข้าเติมน้ำมัน
อีกรอบให้เต็ม
เติมได้ 8.1 ลิตร
โดยใช้ความเร็วเฉลี่ยอยู่แถวๆ
130-150 สำหรับไฮเวย์
และ วิ่งอยู่ในเมือง
ประมาณ 30 โล
คำนวนค่าสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้
ราวๆ 19 เกือบ 20 โลลิตร
ถือว่าดีทีเดียว
สำหรับเรื่องน้ำมันที่ใช้
ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปริศนา
ที่พาให้ระแวงอยู่
คือ พนักงานขาย
แนะนำว่า
ปกติให้เติม เบนซิน
95 แต่ถ้าหาไม่ได้
เติม Gassohol 95 ก็ได้
แต่ถ้า จอดนานๆ
ถ้ากลัวน้ำมันเน่าคาถัง
หา เบนซิน 95ไม่ได้
ก็ให้เติม เบนซิน 91
แทนได้
แต่พอมาเปิดดูในคู่มือ
ระบุไว้ชัดว่า
น้ำมันที่ใช้ ใช้ ron 95
หรือ 98 (ทั้งในฉบับภาษาไทย
และอังกฤษ)
ก็เลย แอบเสียวๆ
ว่าเติม 91
ซึ่งอันเดอร์อ๊อคเทนกว่า
ที่แนะนำในคู่มือ
จะเจอปัญหาชิงจุดระเบิดหรือน้อค
ส่งผลให้เครื่องยนต์ร้อนเสียหายหรือไม่
แต่สอบถามกลับไปทางพนักงานขาย
ที่ ปรึกษากับ ฝ่ายเซอร์วิสแล้ว
ยืนยันว่า 91
ก็ใช้ได้ ก็เลย
อุ่นใจขึ้นหน่อยนึง
และคิดว่า
อาจจะเป็นไปได้
ที่ทางศูนย์ไทยเห็นว่า
95 ตอนนี้หาเติมยาก
อาจจะตั้งไฟ ให้
ใช้กับ 91
ได้โดยยอมลด Performance
ของเครื่องลงไปบ้าง
แอบเอาสเป็ค
M795 มาฝากครับ
แผงหน้าปัด
ดิจิตอล ของ M795
นี่ให้ความสำคัญกับรอบเครื่อง
มากเป็นพิเศษ
หน้าปัดใหญ่ด้านบน
ยกให้เป็นของวัดรอบเครื่อง
ด้วยแถบ LED ทั้งหมด
ส่วนช่องล่าง
เป็นช่องหน้าต่าง
แสดงฟังชั่นหลายอย่างให้ปรับเลือก
ทั้ง
มาตรวัดความเร็ว
มาตรวัดระยะทาง
นาฬิกาบอกเวลา
รวมทั้ง นาฬิกา
จับเวลา พร้อม Lap Function
กรณีขี่ใน Circuit
ความสว่างของไฟหน้าปัด
ปรับได้ สามระดับ
ตามความชอบ รวมทั้ง
มีมิเตอร์บอกระดับ
แรงดันไฟของแบตเตอรี่ให้ทราบว่า
เหลือเท่าใด
มีปัญหาหรือไม่ด้วย
ท่อไอเสียที่หลายคน
สีขาวดูขัดตานิดๆ
แต่คงหาโอกาสเปลี่ยนเป็น
ท่อ Carbon ต่อไป
แถม Mini Review หมวก
Shoei Quest
ที่ถอยมาเข้าคู่กับคันนี้ด้วยเลย
ถอยรถคนนี้ออกมา
แต่หมวกกันน้อคที่บ้าน
หลายใบไม่มี
สีและแบบ
ที่พอจะไปกับคันนี้ได้เลย
เห็นน้องๆในเว็บ
monsterclub
ถอยตัวนี้มาดูสวยเข้ากับรถได้ดี
เห็นว่าราคา 2.2 หมื่น
ที่ Paddock
แต่โทรไปถาม
เค้าบอกของเพิ่งเข้ามามีครบไซซ์
ราคาถูกลงมาลดเหลือ
1.85 หมื่น
เข้ากทม.
วันก่อนไปรับรถ
ก็เลยแวะไปสอยมา
น้ำหนักดีทีเดียว 1.5
โล สำหรับ ไซซ์ M
ที่ผมใส่
หนักๆเท่าๆกับ Arai
และ Shoei
ที่ใส่อยู่ทุกใบ
สำหรับหมวก
Shoei รุ่นใหม่ๆ
รวมทั้งรุ่นนี้
มีฟังชั่นป้องกันกระจกหน้าเป็นฝ้า
โดยปกติ
ถ้าอากาศเย็นกระจกด้านหน้าสัมผัสกับอากาศเย็น
เวลาไอน้ำด้านในไปสัมผัสกระจก
จะเกิดฝ้าด้านใน
แต่ตัวนี้
ป้องกันฝ้า
โดยการเสริม
แผ่นพลาสติคแข็ง
เข้าเสียบแนบติดกับชิลด์ด้านใน
และมีขอบยางโดยรอบ
กันอากาศไม่ให้แทรกเข้าใต้แผ่น
ทำให้ไม่เกิดฝ้าในชิลด์
ยิ่งเมื่อร่วมกับแผ่นยางปิดหน้าหมวกตรงจมูกป้องกันลมหายใจย้อนไปโดนกระจกหน้า
ยิ่งป้องกันฝ้าได้ดีขึ้น
ส่วน จะป้องกัน สิว
ได้ด้วยมั้ย ทาง Shoei
ไม่ได้แจ้งไว้ อิๆ
แผ่นผ้ายืดตาข่าย
ปิดใต้คางถอดออกได้อันนี้ก็ช่วยป้องกันพวกฝุ่น
และแมลงที่ตลบย้อนขึ้นไปในหมวกได้ดี
ถ้าไม่ชอบก็ถอดอกได้
แต่ใส่ไว้ก็ไม่รำคาญนะ
โอเค
แต่ข้อเสียของ Shoei
เมื่อเทียบกับ Arai
ก็คือ
ตัวฟองน้ำบุในหมวกที่ถอดซักได้แค่
ปิดหูสองชิ้น ที่เหลือ
ถอดไม่ได้หรือถอดยาก
ในขณะที่ Arai
แต่ข้อดี ของ Shoei
ที่ผมชอบก็คือ
ชิลด์หน้าถอดออกล้างง่าย
กว่า ของ Arai
เยอะดีกันไปคนล่ะแบบ
Upgrade ชุด ท่อ
และกล่องแต่ง Temignoni
หลังจากวิ่งต๊อกแต๊กแถวบ้าน
ได้ประมาณพันโล
ชุดท่อแต่ง Sportpackage ของ
บริษัท
ที่จัดให้ลูกค้าจอง
ก็ได้คิวไปติดตั้ง
เลยจับไปติดตั้งมาใหม่
ที่เห็นๆ ก็มี
ปลายท่อ Slip on Carbon ของ
Termignoni พร้อมกล่องแต่ง
ครอบเบาะท้ายกันคนซ้อน
และ Tank Protection
ใส่แล้วก็ดูสวยดี
เหมือนกัน
มาชมกันอีกด้าน
ท่อ Carbon ก็ดูสวยดี
แต่ครอบสีเงิน
ตรงคอมัน
ลูกชายบ่นว่าสีขัดตากำลังคิดว่า
จะเอาไป ทำPowder Coated
ดำดีมั้ย
ส่วนเรื่องความร้อน
ของรถหลังเปลี่ยนท่อหลายคนบอกว่ามันลดลง
ผมเองคนขี่ต้องบอกว่า
มันยังร้อนเวลารถติดเหมือนๆเดิม
สงสัยต้องหาผ้าพันท่อกันร้อน
เป็น HD มัมมี่ เซอร์
มั่งแล้ว อิๆ
|