Hayabusa 2008
Suzuki GSX 1300 R 2008
หลังจากที่ได้ทดลอง
ถอย Hayabusa
2005 Limited คันก่อน
มาทดลองดูขี่ดู
อยู่ซักพัก
และพบว่า
พอจะปล้ำกับ
มันไหวมั้ย
อยู่ถอยตัว Hayabusa 2008
ตัวนี้ ออกมา
ตอนแรกลังเล
ว่าจะเลือกสีขาวมุก
ที่ดูสวยสะอาดตา
แต่
หลังจากตัดสินใจดูดีๆ
แล้วในที่สุดก็เลือก
สีส้มดำ คันนี้
ซึ่งเป็นสีที่หลายคนมองว่าสวยดุ
ดี และ เป็นสีที่ทาง
Suzuki เลือกใช้
เป็นสีที่เน้นโฆษณา
รุ่นนี้ มาแทน
ที่สำคัญ
เมียชอบสีส้ม
มากกว่าสีขาวมุก
ดังนั้น ตามใจเมีย :P
สำหรับตัว 2008
ต้องนับว่าเป็น Model
Change อย่างแท้จริง
เพราะว่าหลังจากที่
ใช้
เครื่องยนต์และตัวถังตัวเก่า
มาติดต่อกันนานถึง
10 ปี ตั้งแต่ ปี 1998
จนกระทั่งมาถึง ตัว
2008 ทาง Suzuki ได้จัดการ
ยกเครื่องใหม่ให้
มันทั้ง ตัวถัง และ
เครื่องยนต์
Hiroshi Lio
หัวหน้าทีมวิศวกรร
ที่ออกแบบ Hayabusa
คันนี้ ได้
จัดการเปลี่ยนแปลงตัวถัวไปมากหลายจุด
แต่ว่า
รูปทรงและหน้าตาส่วนใหญ่ของมัน
โดยเฉพาะโคมไฟหน้าที่โฉบเฉี่ยว
ก็ยังคงความเป็น
Hayabusa
ไว้เต็มที่เรียกว่ามองปั๊บ
ก็รู้ว่า มันคือ " H
A Y A "
Fairing ของตัวนี้
เปลี่ยนจากรุ่นเก่าที่เป็นแบบ
ชิ้นเดียว
มาเป็นแยก
สองชิ้นทำให้ถอด
บำรุงรักษา
ตลอดจนถอดเปลี่ยนแยกชิ้นได้เมื่อเสียหาย
ซึ่งก็สะดวกดี
ตัว Frame รถ แบบ Twin Spar
ทำจากอลูมิเนียม
ทำให้ลดน้ำหนักของตัวรถไปได้มากพอสมควร
Swing Arms ก็เป็น
อลูมิเนียมอัลลอย
แข็งแกร่งแต่เบาเช่นกัน
แข็งแรงเพิ่ม Grip
ของล้อหลังในการยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น
ช้อคอัพหน้าเป็นแบบ
กลับหัว (Upsidedown)
แกนช้อคเคลือบผิวด้วยระบบ
DLC
เพิ่มความแข็งแกร่งและลดการเสียดสี
สามารถปรับตั้งระดับ
ได้ถึง 14 ระดับ
ช้อคอัพหลัง
เป็นแบบ Link Type ขนาด 43
มม.
ปรับแต่งได้อิสระ
โคมไฟหน้า เป็นแบบ
Muti-reflector และ Projector
ในโคมเดียวกัน
ดูเพรียวคมกว่ารุ่นเก่า
แต่ยังคงเอกลักษณ์ของฮายาอยู่เหมือนเดิม
ระบบเบรค
ลดขนาดจานเบรคหน้า
และจำนวนลูกสูบลง
แต่เปลี่ยน Caliper
เป็นแบบ Radial Mount
ทำงานได้ดีขึ้น
เบรคหลัง
ยังคงใช้ระบบเดิม
แต่เพิ่ม
ขนาดจานใหญ่ขึ้นเป็น
260 มม. และ
ลดจำนวนลูกสูบ
เหลือ ลูกสูบเดียว
แต่ขนาดใหญ่ขึ้นเบรคได้ดีขึ้น
การควบคุมบังคับ
ไม่ยาก
มีการติดตั้งกันสะบัด
มาให้จากโรงงาน
ช่วยซึมซับแรงกระชากเวลาเจอถนนขรุขระได้ดี
เครื่องยนต์
ถิอว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทีเดียว
ขนาดเครื่องยนต์
ขยายความจุกระบอกสูบ
จาก 1299 ไปเป็น 1340 ซีซี
เป็นเครื่อง 4
สูบเรียง DOHC 16 Valves
ให้แรงม้าเพิ่มขึ้นถึง
198 แรงม้า
กระบอกสูบ
ปรับปรุงใหม่ ใช้
วัสดุ SCEM (Suzuki Composite Electro-Chemical
Material ) ซึ่งแข็งแกร่ง
ระบายความร้อนได้ดี
และลดความหนาลงได้
รวมทั้งเพิ่มความแข็งแรงของก้านสูบให้รับแรงได้ดีขึ้น
วัสดุ
ที่ใช้ทำแหวนลูกสูบได้รับการเคลือบด้วยสารพิเศษเพิ่มความแข็งแกร่ง
และลื่นขึ้น
ระบบระบายความร้อน
รังผึ้งหม้อน้ำ
ได้รับการปรับมุมโค้ง
ให้ระบายความร้อนได้ดี
ทำงานร่วมกับพัดลมไฟฟ้า
ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์
ช่วยระบายความร้อนจากเครื่องยนต์ได้ดี
พร้อมทั้งปรับ ขนาด
Oil Cooler
ให้มีขนาดใหญ่ระบายความร้อนเครื่องยนต์ได้ดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน
สำหรับ ระบบ Safty
ในการติดเครื่องยนต์
รุ่นนี้ ยังคง
ใช้เหมือนกับรุ่นอื่น
คือ เมื่อบิดกุญแจ
และ
สวิทย์จ่ายไฟให้เครื่องยนต์
แล้ว
ต้องเข้าเกียร์ว่าง
และ บีบคลัช ก่อนจึง
จะสตาร์ทได้ และ
ก่อนจะเข้าเกียร์อออกตัวรถ
ต้องเอาขาตั้งขึ้นก่อน
ไม่งั้น Sensor
ที่ขาตั้งจะแจ้งให้ดับเครื่องยนต์ทันที่เข้าเกียร์
โดยไม่เอาขาตั้งขึ้น
(เพื่อป้องกันการออกรถ
โดยลืมเอาขาตั้งขึ้นก่อน)
Mode
ควบคุมการจ่ายกำลัง
ของเครื่องยนต์
ใน Haya 2008 จะมี ระบบ S-DMS
(Suzuki Drive Mode Selector) ซึ่งเป็นMode
การขับขี่ให้เลือก
ว่าต้องการการตอบสนอง
ของกำลังเครื่องยนต์
แบบใด
โดยมีให้เลือก 3 Mode
ตาม ภาพ
Mode A เป็นMode ที่
เครื่องยนต์
มีประสิทธ์ภาพ
สูงสุด
แรงเครื่องยนต์มาเร็ว
และ ตอบสนองต่อคันเร่ง
อย่างฉับไว
ให้แรงม้าสูงสุด
เต็มที่ 198 แรงม้า
Mode B เป็น Mode
ที่เครื่องยนต์ตอบสนอง
รองลงมา
รวมทั้งกำลังม้าสูงสุด
ที่ได้ก็ลดลงไป (ดูจากรูปกร๊าฟ
) ซึ่งต่างจากที่มี
เพื่อนบางท่านบอกว่า
ใน Mode B
ถ้าเปิดคันเร่งเต็มที่
ก็ยังได้แรงม้าเต็ม
198 แรงม้าเช่นกัน
แต่ถ้าดูจากกร๊าฟ
ในคู่มือแล้ว
น่าจะไม่ใช่
Mode C
ให้กำลังเครื่องยนต์
ต่ำสุด
ตอบสนองช้าสุด
น่าจะเหมาะกับ
การขับขี่ตอนถนนลื่น
หรือ มือใหม่
ที่ยังไม่ชำนาญ
การเปลี่ยนMode
การขับขี่
จะเปลี่ยนที่ Switch
เปลี่ยน Mode
ซึ่งเป็นปุ่มกดที่
มือขวา
ใต้สวิทย์เปิดปิดเครื่อง)
โดยเมื่อกดปุ่มค้าง
สองวินาที หน้าปัด
จะโชว์ Mode การขับขี่
ขึ้นมาที่ Mode A
แล้วเราสามารถเลือกกดเปลี่ยน
Mode
การขับขี่ไปได้ตามต้องการ
แต่เมื่อ
ปิดสวิทย์การทำงาน
Mode
การทำงานที่หน้าปัดจะหายไป
จะขึ้นมาเป็น Mode A
ให้เห็น ถ้ากด Set Mode
เท่านั้น
ทำให้มีการถกกันว่า
แล้ว หลังจาก
สตาร์ทเครื่องใหม่
โดยไม่ได้กด Reset Mode
นี่ เครื่องยนต์ มัน
ทำงานที่ Mode
หลังสุดที่ใช้
ก่อนปิดเครื่องหรือ
กลับไปทำงานที่ Mode A
ทุกครั้ง แต่หลงจากลองทดสอบ
โดยการจับการตอบสนองเครื่องยนต์
ร่วมกับเพื่อนๆที่ใช้รถรุ่นนี้
หลายคน เชื่อว่า ถ้า
ไม่ได้กด Reset ใหม่
นั่น
เครื่องยนต์จะทำงาน
อยู่ในMode
ที่เลือกไว้หลังสุด
แต่ถ้ากด Reset ดู Mode
เมื่อไร
มันจะเปิดมาเป็น Mode A
ให้ทันที
มาลองดูหน้าปัดกัน
หน้าปัดรุ่นใหม่
ออกแบบได้สวย
เป็นวงกลม 5
วงเรียงต่อคล้าย Cockpit
นักบิน
วงซ้ายสุด
เป็นเกจ์น้ำมันเชื้อเพลิง
พร้อมไฟเตือน
วงถัดมาเป็น
เกจ์วัดรอบเครื่องยนต์
แบบ Analog ดูง่าย
วงกลาง เป็น
ที่ติดตั้งสัญญานไฟเกียร์ว่าง
และ
ไฟเตือนน้ำมันเครื่อง
ด้านล่าง เป็นกลุ่ม
Set ฟังชั่นต่างๆ และ
เลือกใช้ Trip Meter (มีสอง
Trip ) และ Odometer
ตัวเลขใหญ่ตรงกลางสุด
เป็นไฟแสดงตำแหน่งเกียร์
ด้านบนเป็นนาฬิกาบอกเวลา
และ ด้านล่างสุด
เลือก ตั้งให้เป็น
Trip หรือ Odometer ได้ ส่วน
ด้านขวา ของจอนี้
จะเป็นที่แสดงตำแหน่ง
Mode การขับขี่เมื่อกด
Set
แต่ถ้าไม่ได้กดเรียกดู
ก็จะไม่มีแสดงให้เห็น
วงถัดไปรองขวาสุด
เป็น
ไมล์วัดความเร็ว
ซึ่งแสดงผลสูงสุดแค่
300
ต่ำกว่าความเร็วจริงที่มันทำได้
พอสมควร
และ วงขวาสุด คือ
เกจ์วัดความร้อนเครื่องยนต์
จากการใช้งาน
มาตรวัดต่างๆ และ
การคอนโทรลปุ่มกดต่างๆ
ทำได้ง่าย
ปุ่มไฟเลี้ยว
อยู่ด้านซ้าย
โยกกดซ้าย หรือ ขวา
ถ้าต้องการเปิด
และกดลงไปตรงๆ
ถ้าต้องการยกเลิกการเลี้ยวไปด้านนั้น
ปุ่มปรับ ไฟสูง-
ต่ำอยู่ด้านซ้ายเช่นกัน
และ มีปุ่ม Dip
ยิงไฟสูง เพื่อ Flash
ไฟสูงให้ทาง
ที่ควบคุมได้ง่ายด้วยนิ้วชี้ที่คล้องอยู่บนแฮนด์
สะดวกดี
เวลาใช้งานฉุกเฉิน
ระยะห่าง
ของมือเบรค
สามารถปรับตั้งได้ 5
ระดับตามขนาดของอุ้งมือแต่ละคน
ส่วน ด้านคลัช ปรับตั้งได้เช่นกันโดยปรับตั้งได้
4 ระดับ
บั้นท้ายได้รับการออกแบบใหม่
เป็นทรงตูดมด
ตามสมัยนิยม (แต่หลายคนแซว
ว่าเหมือน Fino อ่ะ :P :P )
มองจากด้านท้าจะเห็นท่อไอเสียรูปทรง
สามเหลี่ยม
ขนาดใหญ่ดูดุดัน ดี
เบาะนั่งสำหรับคนซ้อนได้รับการออกแบบใหม่ให้ต่ำลงกว่ารุ่นเดิม
ช่วยให้คนซ้อนท้ายนั่งบังลมหลังคนขับได้ดีขึ้น
มีโครงเหล็กใช้สำหรับคนซ้อนช่วยยึดจับ
หรือ
ผูกของติดท้ายรถได้ดี
เสียแต่ว่า ถ้าติดตั้งโครงเหล็กนี้
จะใช้ฝาครอบหลัง (โหนกหลังไม่ได้มันจะติด
ต้องถอดออกซะก่อน
ถึงจะครอบได้ ดังนั้นสำหรับคนที่
ชอบใส่เบาะหลังกับ
ใส่โหนกหลังสลับกันบ่อยๆ
มักไม่นิยมใส่โครงเหล็กนี้
คันนี้
ได้จัดการติดตั้ง
Slider กันล้ม ของ Argus 3
ชิ้น มาด้วย
ชิ้นเล็กแค่สามชิ้น
ไม่เกะกะ และเพิ่มน้ำหนักมากนัก
สวยดีอีกต่างหาก :P
Frame Plate
ของตัวนี้
บอกให้รู้ว่า เป็น
Canadian Spec ผลิต
เมื่อเดือน มีนา 2008
เป็นรถ ล้อตใหม่สดๆ
จากญี่ปุ่นในวันรับรถ
เมื่อ มิถุนา 2008
ในบ้านเรา
หมายเลขตัวถังเลขสวย
XXX 111666 :P
Specification
เครื่องยนต์
ขนาดความจุ 1340cc, 4 สูบ 4
สี่จังหวะ DOHC 16-valve
ระบายความร้อนด้วยน้ำพร้อมพัดลมระบายความร้อน
กระบอกสูบ x
ระยะช่วงชัก: 81.0 x 65.0 mm.
อัตราส่วนกำลังอัด
12.5:1
ระบบจ่ายน้ำมัน :
หัวฉีดอีเลคทรอนิค 2
หัวฉีดต่อ 1 สูบ
ระบบ เกียร์ 6 Speed แบบ
constant mesh
ระบบ ถ่ายทอดกำลัง
โซ่ No 530
มิติขนาดตัวถังรถ
ยาว 2195 x กว้าง 740 x สูง1170
mm.
ความสูงของเบาะนั่ง
(Seat Height )805 mm.
ความสูงใต้ท้องรถจากพื้น
(Clearance )120 mm.
ความยาว ฐานล้อ 1485 mm.
Dry Weight 220 Kg (แต่น้ำหนักชั่งรวม
ของเหลวทุกอย่าง
พร้อมน้ำมันเต็มถังพร้อมใช้
ชั่งได้ 250 Kg พอดี)
ระบบกันกระเทือนหน้า
แบบ Telescopic Upsidedown 43 mm., DLC coated,
fully adjustable
ระบบกันกระเทือนหลัง
แบบ: Link-type, gas/oil damped, fully
adjustable
ระบบเบรคหน้า
จานคู่ (Double Disc ) ขนาด 310
มม. พร้อม Calipper แบบ Radial
mount 4 pistons
ระบบเบรคหลัง
จานเดี่ยว (Single Disc )
ขนาด 260 มม.. Calipper แบบ 1 piston
ขนาดยาง หน้า 120/70-ZR-17 ,
ขนาดยางหลัง 190/50-ZR-17
ความจุถังเชื้อเพลิง
21 ลิตร
จับมาประกบ
ความหล่อกับ ตัว 2005
ตัวเก่า ดูเอาเอง
ว่าตัวไหนหล่อกว่ากัน
:P
ประกบบั้นท้าย
จับเจ้าอ้วนเข้าคอร์สลดน้ำหนัก
หลังจาก
ลองขี่ เจ้าอ้วน Haya 2008
ตัวนี้ ม าซักพัก
ด้วยความที่เป็นคนตัวเล็ก
ทนเข็นมันหนัก
ไม่ค่อยจะไหว
เพราะว่าน้ำหนักมันเติมน้ำมันเต็มถัง
พร้อมของเหลวทุกอย่างพร้อมขี่
น้ำหนักปาเข้าไป 250
กก. เลยอาฆาต แค้น
จะจับมันเข้าคอร์ส
ลดน้ำหนัก กันหน่อย
หลังจากคำนวนแล้วท่อไอเสียอวบอ้วน
พร้อม Catalytic
ของมันนี่แหละตัวดี
เป็นเป้าหมายใหญ่
น่าจะลดได้มาก
ก็เลยเริ่มที่
ท่อไอเสียนี่แหละโจทย์
ที่ตั้งไว้ คือ
อยากได้ท่อ
คาร์บอนด์เคฟล่าร์
ที่สวยๆ แต่ขอเป็นสองท่อ
(ไม่ชอบท่อเดี่ยว
อ่ะ) ตอนแรก เล็งYoshimura R77
Slip On Carbon Kevlar มาใช้
ราคาในเมืองไทย Red
ขยับราคาตั้งหนีไปแถว
4.7 หมื่นแล้ว
แต่เพื่อนเค้าหาใด้
ที่ 3.9 หมื่น
แต่เผอิญ
มีน้องเค้าอยู่ที่สิงค์โปร์
และอาสา จะหิ้ว ตัว Slip
On ของ Akrapovic Kevlar มาให้
ราคาขายในเมืองไทย
คือ 5.5 หมื่น แต่ว่า
ได้ส่วนลด
จากการต่อรอง
เหลือประมาณ 5 หมื่น
แพงกว่า ตัว Yoshimura R77
นิดหน่อยแต่ได้
ชื่อชั้น และ งานของ
Akrapovic ที่เนียนกว่า
ก็เลยตัดสินใจเลือกตัวนี้
สนองศรัทธาคนหิ้ว
ซะเลย
จัดการเปลี่ยนเอง
ขั้นแรก
จับถอดของเก่า
ออกมาชั่งกันก่อนเลย
น้ำหนักปลายท่ออวบอ้วน
หนัก 5.25 กก.ต่อข้าง
แผ่นคลุมข้อต่อด้านล่าง
พร้อมคลิป
นี่หนักข้างล่ะ 0.35 Kg
หนักรวมกัน
ข้างล่ะ 5.6 Kg สองข้าง
ก็ 11.2 Kg
ส่วน ท่อเสตนเลส
ที่ต่อจาก Header
แยกสองทาง
มาเข้ากับ
ปลายท่อไอเสีย
ทั้งสองข้าง
หนักข้างล่ะ 1.5 Kg
สองข้าง 3 โล รวมกับ
ปลายท่อที่ถอด
ออกมา
เป็นน้ำหนักรวมที่ถอดออก
14.2 Kg หนักพอดู เลย
จัดการ Un Pack
Akrapovic Muffle Slipon
สำรวจอุปกรณ์ในกล่อง
ประกอบด้วย
ปลายท่อ สองข้าง
ท่อต่อStainless
คลิปเหล็กรัดปลายท่อติดกับ
Header
แหวน Adaptor Graphite
รองปลายท่อติดกับ
Header พร้อมน้ำยา Sealant
สปริง รั้งปลายท่อ
กับท่อเสตนเลส
Clip Kevlar
ยึดปลายท่อกับเฟรมกันแกว่ง
จับชั่งน้ำหนักรวมกันได้ข้างล่ะ
2.2 Kg สองข้าง รวม 4.4 Kg
ซึ่งเท่ากับว่าการเปลี่ยนท่อ
นี่นอกจากได้ความสวยงาม
เรื่องเสียงที่ดุดันขึ้น
ความร้อนจากท่อ
ออกมาภายนอก ลดลง
Performance ที่เพิ่มขึ้นบ้าง(แต่จริงๆ
แล้ว
ตรงนี้ไม่เน้นหรอก
แค่แรงม้าติดรถ 198
ก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้น
อิๆ) ยัง
ลดน้ำหนักไปได้ 9.8 Kg
เกือบๆ สิบโล
ถือว่าเยอะพอสมควรทีเดียว
จับประกอบใส่กลับเข้าไป
ไม่ยาก เท่าไร
เสร็จแล้ว
ก็หน้าตาออกมาอย่างนี้แหละครับ
อีกด้าน
ด้านท้าย
สังเกตุ จะมี Silencer
ช่วยเก็บเสียง
ถอดออกได้ด้วยสกรูตัวเดียว
ลองถอดดูแล้ว
เสียงดังดุดันขึ้นอีกเยอะ
แต่ไม่ช่วยลดน้ำหนักเท่าไร
และไม่ชอบดังมากเลยใส่กลับไปอย่างเก่า
ตอนนี้
น้ำหนักเลยเหลือ
ประมาณ 240 Kg
เมื่อเติมของเหลวทุกอย่างเต็มที่
ใจจริง
ยังอยากจะลดลงอีกซักหน่อย
เป้าหมายต่อไปอยู่ที่ล้อ
ซึ่งของเดิมล้อหน้าหลังพร้อม
สเตอร์
นี่หนักประมาณ 12-14 กก.
กำลังคิดว่าจะเปลี่ยนมาใส่
Gale Speed
ตามน้องที่เค้าหิ้วท่อมาให้
ดีหรือป่าว
เพราะว่าน้ำหนักล้อใหม่
จะเหลืออยู่ แค่ 3-4
โล ลดไปได้อีกราวๆ 10
Kg แต่เมื่อคำนวนกับ
พวกล้อแต่งที่
ราคาอยู่แถว 8
หมืนกว่า ถึงแสนกว่าๆ
นี่
ยอมทนเข็นหนักหน่อยไปก่อนล่ะกัน
:P
|