-=Jfk=- Car Experience

Toyota Fortuner 3.0V


SUV หรือ PPVตัวดัง ในรอบปี 2005

ดังตั้งแต่เริ่มผลิต เนื่องจากทางโตโยต้า ยื่นขอจดทะเบียนเป็นรถ PPV หรือรถยนต์ปิคอัพดัดแปลง เพื่อให้เสียภาษีสรรพสามิตร ในอัตราที่ต่ำ กว่า SUV ทั่วไป โดยอ้างว่าใช้พื้นฐาน การผลิต จากกระบะไฮลักส์ วีโก้ แต่ว่า หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่า แชซซี ของ Fortuner สั้นกว่า ของ วีโก้(เพื่อให้คล่องตัวในการเลี้ยว ในเมือง) และ ระบบช่วงล่างที่เปลี่ยนจากแหนบไปเป็น ระบบ ช้อค และคอยสปริงเหมือนรถเก๋ง ทำให้หลายคนคิดว่า มันไม่น่าจะเสียภาษีในอัตราของ PPV แล้ว แต่น่าจะเสียภาษีเป็น SUV เต็มๆ แต่ ในที่สุด ยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้า ก็ทำให้มันกลายเป็น PPV ออกมาจนได้ทำให้ราคาขายของ น้องจูน ออกมาได้ต่ำกว่า SUV ตัวอื่นๆ ขนาดใกล้เคียงกัน มากพอดู(แถม ตอนขายโฆษณา เป็น SUV อย่างเต็มภาคภูมิอีกแฮะ :P
และสุดท้ายที่ดังกว่า เรื่องข้างบน ก็คือ ปัญหาเรื่องเบรค ซึ่งทำให้เครดิตน้องจูนเสียไปเยอะพอดู ไว้เดี๋ยวไปเล่าตรงประสพการณ์ ใช้รถกันอีกรอบ :P

คำถามยอดฮิต เล่นตัว ดีเซล หรือ เบนซินดี

ถ้าใครติดตามตามเว็บบอร์ด เกี่ยวกับรถยนต์ จะเห็นได้ว่าคำถามหนึ่ง ที่มีคนถามกันมากก็คือจะออก Fortuner จะเล่น ดีเซล หรือเบนซินดี
ความรู้สึกคนทั่วไป เบนซินได้เปรียบเรื่องอัตราเร่ง ความเงียบของเครื่องยนต์ แต่ ดีเซลได้เปรียบในเรื่องความประหยัด
แต่หลังจากตรวจสอบสเป็ค และทดลองขับ กับ รูปแบบการใช้งานของรถ ผมและคนส่วนใหญ่ไม่ลังเล ที่จะเลือก รุ่นดีเซล(ทั้งที่โดยส่วนตัวผมเองชอบเก๋งเบนซินมากกว่า และไม่เกี่ยงเรื่องความประหยัดเท่าไร) เนื่องจาก เครื่องยนต์ดีเซลของรุ่นนี้ไม่ได้มีเสียงดัง หรือสะท้านมากไปกว่าเบนซินเท่าใด และแรงม้าที่ให้ดีเซล สูงกว่าเบนซินเล็กน้อย (แต่น้ำหนักก็มากกว่า ทำให้เรื่องอัตราเร่ง และ ความเร็วปลายทั้งสองตัวไม่ต่างกันมาก(ซึ่งหมายความว่า ความได้เปรียบของเบนซินหมดไป)
แต่จุดเด่น ที่เหนือกว่าของเครื่องยนต์ดีเซล ก็คือ ดูแล ง่าย ประหยัดน้ำมันกว่า และที่สำคัญ สังเกตุจากแรงบิดที่เหนือกว่าเครื่องเบนซิน มาก( 345 กับ 241นิวตัน-เมตร/รอบต่อนาที )ทำให้การใช้งานในลักษณะสมบุกสมบัน ไต่ทางลาดชัน บรรทุกหนัก หรือไต่เขา ซึ่งเป็นรูปแบบของการใช้งานรถ Off Road แบบนี้อยู่แล้ว ดีเซล จะเหมาะสมกว่า
ดังนั้น ไม่แปลก ที่แม้ราคาของรุ่นดีเซลเกียร์ออโต้ จะแพงกว่า เบนซินออโต้ ที่มีอ็อปชั่นต่างๆเหมือนกัน อยู่ 1 แสนบาท แต่คิวจองของรุ่นดีเซลในระยะแรก ยาวมากกว่า หกเดือน ในขณะที่เบนซินรอแค่ ไม่กี่วันหรือมีรถให้เลย พร้อมส่วนลดที่มากกว่า
Specifications
SUV หรือ PPV ขนาด 3.0 litre ขับเคลื่อนสี่ล้อ แบบ Full Time 4 Wheels Drive
เครื่องยนต์ IKD-FTV ดีเซล 4 สูบวางเรียง DOHC 16 Valve ขนาด 2982 ซีซี พร้อม Turbocharger with Intercooler
แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3400 รอบต่อนาที(เครื่องเบนซิน 160แรงม้า ที่ 5200 รอบต่อนาที)
แรงบิดสูงสุด 345 newton-เมตร/รอบต่อนาที (เครื่องเบนซิน 241นิวตัน-เมตร/รอบต่อนาที)
น้ำหนัก ตัว 1925 Kg. (เครื่องเบนซิน 2.7 V = 1810 kg)
ขนาดตัวรถ 4.70 X 1.85 X 1.8 เมตร (ไม่รวมความสูงของราวหลังคา อีกประมาณ 10 ซม.)
เกียร์ อัตโนมัติเดินหน้า 4 จังหวะ พร้อมคันเกียร์ควบคุมการขับเคลื่อนสี่ล้อ (เกียร์ Slow)
ระบบเบรค Disc Brake หน้าพร้อม ช่องครีบระบายความร้อน หลัง ดรัมเบรค
ระบบอำนวยความสะดวก และความปลอดภัย
ะบบเบรค ABS พร้อม ถุงลมนิรภัย คู่หน้า (ให้ความปลอดภัยดี เสียแต่ระบบเบรคเบรค มันไม่ค่อยจะจับ จนทำให้ ABS แทบไม่ค่อยจะได้ทำงาน เลย ยกเว้นถนนลื่นๆ หรือ เหยียบเบรคแรงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จริง เท่านั้น จนสมาชิกหลายคน ของ Fortuner Club ลืมไปแล้ว ว่ามันมี ABS :P )
ชุดเครื่องเสียงติดรถ พร้อม CD Changer 6 แผ่น และ เล่นไฟล์แผ่น MP3 ได้(แต่คุณภาพเสียง ต่ำไปหน่อย )
ระบบป้องกันขโมยพร้อมกุญแจ ระบบ Immobilizer พร้อมรีโมทคอนโทรล และ central lock (ระบบป้องกันขโมยแบบ Immobilizer เท่าที่ดูถึงวันนี้ ยังคงทำงานได้ดี ไม่มีใครโดนขโมยรถไป แบบเจ้าของไม่รู้ตัว แต่เนื่องจากความเป็นรถยอดนิยม ที่หลายคนคิดว่าโดนเฝ้ามอง เจ้าของทั้งหลายจึงยินดี ที่จะจับมันไปติด 3 lock กันขโมยเพิ่มกันอีกชั้นรวมทั้งคันนี้ด้วย :P )
เบาะหนังแท้ 7 ที่นั่ง ที่นั่งแถวสอง และสามปรับ พับเก็บได้ตามต้องการ
กระจกไฟฟ้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Jam Protection ป้องกันการหนีบโดยอุบัติเหตุ ( ให้มาเฉพาะด้านคนขับ)
กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า (ใหญ่สะใจดี มองเห็นได้ถนัด แถมชุบโครเมียมสวยมาจากโรงงานโอเคเลย)
Sensor ถอยหลัง ช่วยกะยะ ในการจอด แสดงผลด้วยเสียงสัญญาน (ปิดได้ถ้าไม่ต้องการ)และสัญญานเตือนเข้าเกียร์ถอยหลัง (ปิดไม่ได้ดังตลอด)( ทำให้มีปัญหานิดนึงตรงที่ เสียงสัญญานถอยหลัง มันรบกวนเสียงสัญญานเตือนเวลาใกล้ชน ถ้ากลับกัน คือให้ตัดสัญญานเตือนเข้าเกียร์ถอยหลัง ออกไปได้ ล่ะก้อ จะเข้าท่ากว่า อ่ะ:P )
เครื่องปรับอากาศ อัตโนมัติ แบบสองตอน(แยกส่วน สำหรับที่นั่งแถวสาม)
พวงมาลัย Multifunction พร้อม จอแสดงขัอมูลการขับขี่(เป็นเข็มทิศ, มาตรวัดอุณหภูมิอากาศภายนอก บอกอัตราการสิ้นเปลืองในการขับขี่ขณะนั้น หรือ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย รวมทั้ง บอกระทางที่รถจะวิ่งต่อไปได้ด้วยน้ำมันที่เหลือในถัง อันนี้ได้ใช้กันบ่อยๆ แก้เหงา เวลาเดินทาง)
ไฟหน้า และ ไฟท้ายแบบ Multi Reflex พร้อมไฟตัดหมอกหน้า ฝังในสปอยเลอร์ (สวย แต่ไม่สว่าง ซักเท่าไร แต่ก็ไม่บาดตา บาดใจ เหมือนหลอด HID ที่เพื่อนร่วมทางค้อนให้ เพราะว่ารถสูงขนาดนี้ สาดไฟ Xenon ใส่ใครคงไม่สนุกแน่ๆ:P)
สปอยเลอร์ท้ายพร้อมไฟเบรคดวงที่ 3 (ช่วยกันลม ไล่พัดโคลนและฝุ่นลงมาที่กระจกหลังเวลาฝนตกได้บางส่วน)
ราวยึดติด Rack บรรทุกของบนหลังคา ( ถ้าใช้ในเมืองคงต้องคำนวนความสูงของแร็คที่จะมาติดเผื่อไปด้วย เพราะว่าความสูงตอนนี้ ก็ 1.9 เมตรไปแล้ว ถ้าเติมแร็คเข้าไปอีก ก็คงเกินสองเมตร เข้าห้างที่ต่ำๆมีสิทธิไม่พ้น แถมสูงเอาของขึ้นยากทำให้ตอนแรกผมคิดจะเอา Rack จับจักรยานขึ้นไปติด ต้องยอมแพ้ ขอยกใส่ท้ายรถโดยพับเบาะแ ถวสาม หรือ สองด้วยแทนดีกว่า)
แผงวงจรความร้อนไล่ฝ้ากระจกหลัง พร้อมที่ปัดน้ำฝนด้านหลัง
ล้อ Mag ขนาด 7 JJ 16 นิ้ว พร้อมยาง ขนาด 265/70/16 แรงดันลมยางที่แนะนำเติม 30 ปอนด์ต่อตรน.ทั้งสี่ล้อ(หลายคนเห็นยางใหญ่ๆ อัดลมยาง กันที่ 35-40 ปอนด์ เมื่อเจอโช้คติดรถที่เด้งอยู่แล้ว เจอลูกระนาด นี่กระโดดเป็นลิงเลย ดังนั้น 30 ปอนด์กำลังสวย สำหรับยาง และล้อติดรถ)
ความจุถังน้ำมัน 65 ลิตร (ใช้น้ำมัน ดีเซล)

สมรรถนะจากการใช้งานจริง
ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ ประมาณ 185 กม./ชม.(แต่ จากการที่หลายคนเทียบความเร็วหน้าปัดกับ ความเร็วที่จับได้จาก GPS พบว่าไมล์ของ Fortuner อ่อนกว่าประมาณ 5% ดังนั้นความเร็วสูงสุดจริง น่าจะอยู่แถวประมาณ 175 กม.ต่อชม.)
อัตราการสิ้นเปลือง แม้จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ใช้ระบบหัวฉีดแบบ คอมมอนเรล ซึ่งว่ากันว่าประหยัดน้ำมันได้ดี แต่เอาจริงแล้ว ออกจะไม่ประหยัดเหมือนที่หลายคนคิด คงเนื่องจากรถมีน้ำหนักค่อนข้างมาก เกือบๆสองตันน้ำมันในเมือง 8 โลลิตร วิ่งทางไกลนอกเมือง ความเร็วคงที่ ประมาณ 120 = 12 โล/ลิตร ,ความเร็ว 160 ประมาณ (สูบเลย) ที่7-8โล/ลิตร)
การทรงตัว ที่ทางเรียบ และความเร็วสูง ถือว่าดีใช้ได้ แต่ถ้าเจอทางขรุขระหรือถนนที่เป็นคลื่น สำหรับรถที่ใช้ช้อคอัพแสตนดาร์ด ติดรถ จะรู้สึกว่า รถจะโยนตัวตัวไปมาแรงมาก หลายคนเลือกที่จะเปลี่ยนช้อคใหม่ให้เกาะถนนมากขึ้น
ระบบเบรคเจ้าปัญหา ต้องเรียกได้ว่าเป็นจุดอ่อน ของฟอร์จูนเนอร์ เลยทีเดียว เมื่อได้รถมาใหม่ๆ เมื่อประมาณกลางปี 2005 ผมขับแล้วรู้สึกว่าเบรคตอบสนองช้าเกินไป เวลาเบรคตอนติดไฟแดง หรือตามสี่แยก รู้สึกเหมือนเบรคไม่อยู่ต้องรีบเหยียบซ้ำไปแรงๆ จนตกใจ และบ่อยครั้งรถไปหยุดเลยเส้น หรือล้ำไปกลางสี่แยก และปัญหาอีกอันคือการเบรคติดต่อกันแรงๆ หลายครั้งแล้วเบรคจะร้อนและเบรคไม่อยู่ (ผมเคยใช้คันนี้ ขึ้นผาหำหดที่ ชัยภูมิ ซึ่งทางชันพอประมาณ แต่ไม่มากนัก ระยะทางประมาณ 10 กม. ลงมาด้วยความเร็วพอสมควรใช้เบรคพอสมควร (ใช้ Engine Brake ช่วยบ้างตามปกติ เหมือนกับการขับรถอื่นเที่ยวเขาทั่วไป ที่ผมผ่านมาหลายสิบครั้ง) แต่คร้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเจอประสบการณ์เบรคไหม้ หลังจากที่ได้มีการคุยกัน ในเว็บบอร์ดรัชดา และ Fortuner Club ว่าเบรคน่าจะมีปัญหา แต่ระยะแรก บางคนคิดว่าอาจจะเป็นแค่อุปทาน หรือประสบการณ์ การขับของแต่ละคน ซึ่งผมเอง ยืนยันว่า จากประสบการณ์ส่วนตัว แล้วคิดว่า มันมีปัญหาจริงๆ
และหลังจากการใช้งานผ่านไป ประมาณ 8 พันโล ได้ถอดผ้าเบรคมาเช็ค พบว่าผ้าเบรคหน้าที่ ติดรถที่ให้มา มีการแตกร้าว ลักษณะเหมือนจะร่อนเป็นแผ่นๆ ในขณะที่เบรคหลังพบว่ามีการสึกหรอน้อยมาก(หรือไม่ค่อยได้ทำงาน) หลังจากนั้นก็พบว่ามีเพื่อนๆ ที่ใช้ฟอร์จูนเนอร์หลายท่าน ที่ประสบปัญหาคล้ายๆ กัน ได้ออกมา พยายามหาสาเหตุ ว่าเกิดจากอะไร และเบื้องต้น เท่าที่สันนิษฐานกันก็คือ ปัญหาอยู่ที่ขนาดจานเบรคหน้าของฟอร์จูนเนอร์ ค่อนข้างเล็ก และการเซ็ทระบบเบรคจากรง.ตั้งให้เบรคหน้าทำงานหนักใน ขณะที่เบรคหลังแทบไม่ได้ทำงานเลย (เบรคหลังห่างเกิน )ทำให้ เบรคหน้าทำงานหนัก และร้อน จนแตกร้าวหรือเบรคไม่อยู่ได้ง่าย
การแก้ไขที่หลายคนได้ทำกัน รวมทั้งผมก็คือ เปลี่ยนผ้าเบรคหน้าให้มีคุณภาพดีขึ้น ปรับตั้งแรงดัน LSPV ใหม่ ปรับตั้งระยะเบรคหลังให้ชิด จับมากขึ้น(แต่ก็ไม่มากจนทำงานมากกว่าเบรคหน้าจนทำให้ท้ายปัดเสียการทรงตัวเมื่อเบรคแรง) ซึ่งหลังการแก้ไข ก็ดีขึ้น แต่พบว่าระบบ Autoadjust หรือ การปรับระยะผ้าเบรคหลังโดยอัตโนมัติมันอาจจะไม่ดีพอ ทำให้เมื่อผ้าเบรคหลังสึกไป แล้ว มันไม่ปรับเข้าไปให้เราเองเหมือนที่ควรจะเป็นดังนั้นระยะเบรคหลัง จึงเหมือนดูห่างออกมา ส่งผลให้เบรคหน้าต้องทำงานหนักเหมือนเดิม ผลของมันก็คือ ผ้าเบรคหน้าของเบนดิกซ์ ที่ผมใส่ติดรถเมื่อ ตอนแปดพันโล แทนผ้าเบรคโตโยต้า ที่แตกร้าว หลังจากผ่าน การใช้งานไป อีกแปดพันโล มาถึง 16000 โล ผ่านการเที่ยวเขาสามรอบ คือ เขาใหญ่หนึ่งรอบ วังน้ำเขียวโคราช ปราจีน หนึ่งรอบ และ ทริปสุดท้ายคือ ทับเบิก ภูเรือ เลย เชียงคาน ปรากฏว่าไปถึงเชียงคานผ้าเบรคหน้าซ้ายหมดเกลี้ยง แบบเหลือแต่แผ่นเหล็กรองผ้าเบรค ส่วนด้านขวา เหลือแค่ประมาณมิลเดียว ในขณะที่เบรคหลัง ไม่ค่อยสึกไปเท่าไร ตอนนี้เลยต้องพยายามปรับตั้งระยะของเบรคหลังด้วยตัวเอง เป็นระยะตามคำแนะนำของเพื่อนที่ทำทางด้านเบรคแนะนำมา
การปรับตั้งระยะห่างเบรคมือด้วยตัวเอง
ให้จอดรถหยุดนิ่ง แล้ว ขับรถถอยหลังด้วยความเร็วพอสมควร แล้วดึงเบรคมือแรงๆจนสุด พอรถใกล้หยุดให้เหยียบเบรคเต็มที่
ทำซ้ำขั้นตอนเดิม โดยเปลี่ยนเป็นขับเดินหน้า สลับกับถอยหลัง ประมาณ สองสามครั้ง ถ้าได้ผลจะสังเกตุได้ว่า เบรคมือตึงขึ้น (ดึงขึ้นน้อยกว่าเดิม แต่เบรคตึงมือมากกว่าเดิม)
ส่วนการแก้ไขถาวรเพื่อนที่ทำด้านเบรค แนะนำว่า อาจจะเปลี่ยนเฟือง ที่คอย Adjust ระยะผ้าเบรคหลังให้ละเอียดขึ้นกว่าเดิม เพื่อ ให้มันปรับตัวเองบ่อยขึ้นได้ค่าละเอียดขึ้น กว่าที่เป็นอยู่ ไว้ถ้าทำแล้วได้ผลอย่างไร จะมาอัพเดทให้อีกที
แต่ก็มีเพื่อนหลายๆคนที่ตัดสินใจ ยกชุดดิสเบรค หน้าหลัง ของ Prado ซึ่งใหญ่กว่า มาใส่แทน รวมทั้งเปลี่ยนหม้อลมเบรคให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งก็ ได้ยินว่าดีขึ้นมาก(จนชักอยากทำบ้างแล้ว)
แต่ถ้าเอาสุดๆ ก็คงต้องเหมือนเพื่อนบางท่านที่ลงทุน เอา Brembo ขนาด 380 มม. 8 port ลงไปใส่เบรคหน้า และ 350 4port พร้อมชุดเบรคมือ มาใส่ด้านหลัง ซึ่งตอนแรกคิดจะทำเหมือนกันแต่เช้คราคา แล้ว ชุดเบรคหน้า ประมาณ 1.7 แสน ชุดเบรคหลัง ประมาณ 1.4 แสน แถมต้องเปลี่ยนล้อกับยาง เป็น ขนาด 20 นิ้วให้เบรคลงได้ อีกแสน รวมแล้ว สี่แสนกว่า (ยังไม่รวมโช้ค ที่ต้องปรับตามประสิทธิภาพเบรค ) ถ้าทำก็คงแถว ครึ่งนึงของราคารถพอดี :P

เครียดเรื่องเบรคข้างบน ซึ่งเป็นจุดอ่อนหลักๆ อันเดียว ของ Fortuner มาเยอะแล้ว มาดูรูปสวยๆ ของมันกันดีกว่า :
ต้องยอมรับว่า Fortuner เป็นรถที่ดูใหญ่ แต่สวยไม่แพ้ รถหรู ค่ายเดียวกัน อย่าง Harrier หรือ Lexus Rx300 เลย ไฟหน้าแบบ มัลติรีเฟรกเตอร์ สามวงสวยดูดี Scoop รับลมเข้าไประบายความร้อนให้กับ เครื่องดูดุดัน ไฟตัดหมอกฝังในกันชนสวย แต่หลายคนใช้งานผิดเปิดในเมืองให้คนด่าๆ อยากรณรงค์ ให้ช่วยกันใช้ให้ถูกต้องด้วยครับ


ด้านข้างและบั้นท้ายก็สวย ไฟท้ายขนาดใหญ่แบบ Multireflex สวย (หลายคนใส่กรอบโครเมียมแต่งผมว่าของเดิมสวยกว่า นะ :P สังเกตุยางอะไหล่ รุ่นนี้ อยู่ข้างนอกใต้ท้องรถดังนั้น ใครไม่ติดล้อคกันยางอะไหล่หาย ส่วนใหญ่ ล้อแม็กซ์ที่ยั่วตา พร้อมยาง จะไม่เหลือ :) จุดสีดำเล็กสองจุดที่กันชนท้ายคือ Sensor สัญญานถอยหลัง

ด้านข้างจะเห็นว่าแม้เป็นรถสามตอนแต่ก็ไม่ยาวมากนัก ฐานล้อสั้นวงเลี้ยวทำได้แค่ 5.7 เมตรดังนั้นการใช้งานในเมืองไม่ยากนัก แต่ตัวใหญ่อาจจะหาที่จอดยากหน่อย :) ตัวรถแม้จะสูง แต่บันไดข้าง ที่ติดมาให้ขนาดใหญ่พร้อมมือจับ(ตามรูปล่าง) ช่วยให้ขึ้นลงได้ง่าย แต่ถ้าเผลอก้าวลงพื้นรวดเดียวเหมือนรถเก๋ง ละก้อ ระวังหัวทิ่ม :) )

ภายในสวยพอใช้เบาะหนังแท้สีครีมดูสวย แต่คอนโซลกลาง ใช้พลาสติคคุณภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็นและ เป็นจุดเดียว ที่อยากจะติ นอกจากเรื่องเบรค ตรงนี้ ถ้าใช้วัสดุที่ดีหน่อย อย่างเช่นฉีดโฟมหรือยาง แบบ Wish แล้ว ขายราคาแพงอีกซักนิด คนใช้หลายคนคงไม่มีใครว่า (หลายคนรอคนทำแผงคอนโซล ที่แต่งสวยมาแทน เมื่อไร จะมีใครทำออกมาขายซะทีเอ่ย :) )

ที่คอนโซลกลางเหนือเครื่องเสียง คือ ตัวจอแสดงผลการทำงาน ของรถควบรุมด้วยปุ่มจากพวงมาลับได้ ส่วนช่องสี่เหลี่ยมมีจอ LCD ด้านล่างเป็นเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ สังเกตุ ต่ำลงมา มีช่องต่อ ที่จุดบุหรี่สองอัน อันนึงให้ที่จุดบุหรี่ติดมา อีกอันทำฝาปิดไว้ ใช้เสียบพวก Charger ของมือถือ ติดรถ หรือ NB (ผมเองใช้อันนึงต่อกับ DC Converter แปลงเป็นไฟบ้านใช้ ชาร์ทอุปกรณ์ไฟฟ้า ต่างๆ เช่น แบ็ตมือถือ แบ็ตกล้อง และ Note book เวลาออกเที่ยวไกลๆ ก็ดีแฮะ ) มาตรวัดเรืองแสงสวยใช้ได้ แต่ติดขอบโครเมียมมาให้ เฉพาะอันกลาง ส่วนอีกสองอันริมต้องซื้อติดเพิ่มเอง :P

แผงข้างรประตู แม้จะใช้พลาสติค แต่ก็ดูดี กว่า แผงคอนโซลหน้า ที่พลาสติคดู คุณภาพต่ำและไม่สวย เอาซะเลย อิๆ

อันนี้ก็เข้าท่า กล่องใส่แว่นตากันแดด ที่เพดานเหนือกระจกมองหลัง พร้อมกับไฟอ่านหนังสือ ใช้งานสะดวกดี

มาดูที่นั่งแถวสอง ที่นั่งสบายปรับเลื่อนหน้าหลังได้ กว้างขวางพอใช้ นั่งได้ สบายสองคน และแม้จะต้องนั่งสามคน ก็ไม่ลำบาก (มีเข็มขัดนิรภัย แบบคาดแต่เอง(สองจุดมาให้คนนั่งกลาง)

เบาะแถวสาม (ขึ้นลงทางด้านประตูหลังโดยพับเบาะแถวสองก่อน) ก็นั่งได้ไม่อึดอัดมากนัก และแม้จะต้องนั่งสามคน ก็พอไหว ดังนั้น คันนี้ถ้าถึงคราวต้องนั่ง 8 คน ก็ไปกันได้แบบไม่อึดอัดเท่าไร

เปิดท้ายมาดูหลังที่นั่งแถวสาม มีที่ว่างไว้ใส่สัมภาระพอสมควร แต่ถ้าต้องการขนกันมากๆ ก็ต้องสละพื้นที่พับเบาะแถวสามขึ้นไปดังรูป หรือถ้ายังไม่พอ เช่นจะขนจักรยาน ซักสองคัน ทีนี้ ก็ต้องพับเบาะแถวสองขึ้นไป (พับแยกได้ ว่าจะพับครึ่งเดียว หรือ ทั้งหมดเลยก็ได้ ตามสะดวก ) ทำให้ตัดสินใจไม่ติดแร็คขนจักรยานบนหลังคา ถ้าต้องนำจักรยานไปแข่งก็พับเบาะลงมาขนแทน :P

สรุป
เป็นรถใหญ่ที่ขับสนุก ทำความเร็วได้ดี อัตราเร่งไม่อืดเกินไป การไต่ขึ้นทางลาดชันสบายๆ แต่ถ้าลุยโคลนลุยหล่ม(รถคันนี้ไม่มี เฟืองท้ายแบบ Limited slip มาให้ถ้าล้อข้างหนึ่งหมุนฟรี ก็อาจจะไต่ขึ้นมาไม่ได้
การทรงตัวบนถนนที่ความเร็วสูงพอใช้ได้ ประกอบกับรถขนาดใหญ่ บางทีคนขับไม่ค่อยรู้สึกตัวว่าความเร็วมาอยู่แถว 150-160 นี่คงเป็นเหตุผลที่หลายคนเห็นฟอร์จูนเนอร์วิ่งผ่านแล้ว บ่นว่าขับกันเร็ว เพราะว่านอกจากมันเร็วจริงแล้ว ขนาดรถที่ใหญ่ๆ ที่วิ่งผ่านยิ่งทำให้ความรู้สึกว่ามันเร็วกว่าความจริงไปอีก
แต่เรื่องการทรงตัวต้องยกเว้นเจอลูกคลื่น ที่รถจะโยนตัวมาก จนผู้โดยสารบางคนบ่นว่าเมารถ คนขับต้องสมาธิดีซักหน่อยไม่งั้นคงต้องหาโช้คอัพดีๆ ชุดใหม่มาใส่แทน
ด้วยราคาค่าตัวล้านนิดๆ กับ SUV ขนาดใหญ่ ที่มีอุปกรณ์ความปลอดภัยและความสะดวกมาให้ พอใช้ ถือว่าคุ้มค่า จนยอดขาย ของรุ่นนี้ ดีมากทีเดียว ไปเที่ยวตามเขา ที่ไหน ก็เห็นน้องจูนเต็มไปหมด แต่ถ้าโตโยต้าจะปรับปรุงแก้ไขปัญหาเรื่องเบรค และ เลือกวัสดุทำคอนโซลหน้าที่ดีกว่านี้ แล้วจำหน่ายในราคา แพงกว่าอีกเล็กน้อย ก็ยังคุ้ม
สำหรับผมเอง หลังจากเจอปัญหาเรื่องเบรค จนอยากไปเปลี่ยนเป็นชุดแต่งของ TRD ที่ให้ เบรค Brembo มาทั้งชุด ทำให้นึกว่า ถ้าใครชอบชุดแต่ง และมีงบพอ ลองดูตัวแต่ง TRD ที่แพงกว่า อีก สี่แสนกว่าๆ ไม่ถึงห้าแสน แล้วถอยออกมาทีเดียว ก็ไม่เลว "P

ปิดท้ายด้วยเทคนิคการใช้เกียร์ ขับเคลื่อนสี่ล้อ และการใช้เกียร์ตอนขึ้นลงเขา
การใช้งานเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ

ปัญหาหนึ่งที่หลายคนยังงง และสับสน ก็คือเรื่องการใช้งานของเกียร์ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งมีหลักการใช้งานดังนี้
1 การใช้งานขับขี่ปกติทั่วไป จะตั้งคันบังคับควบคุมการขับเคลื่อนสี่ล้ออยู่ที่ตำแหน่ง H และเปลี่ยนเกียร์ อัตโนมัติที่คันเกียร์หลัก การขับขึ่ในระบบนี้ แม้จะเป็นการ ขับเคลื่อนสี่ล้อ แต่การกระจายแรงส่งเครื่องยนต์ ไปยังล้อหน้าหรือหลังจะถูกควบคุมโดย Torsen Limited sliped ซึ่งจะขึ้นกับสภาพถนน และความเร็วรถที่ใช้ โดยปกติ แล้ว ถ้าความเร็วสูง จะส่งกำลังไปยังล้อหลัง มากกว่าล้อหน้า แต่ถ้าความเร็วต่ำ จะกระจายการถ่ายทอดกำลัง มายังล้อหน้าเพิ่มขึ้น(โหมดนี้ไฟสัญญานขับเคลื่อสีล้อจะไม่ติด)
2 การขับขี่ด้วยโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อความเร็วสูง (HL) ใช้สำหรับการขับขี่บน ถนนลื่นเช่น ถนนเปียกหรือ ถนนลูกรัง หรือทรายร่วนให้ ปรับคันบังคับไปที่ HL (เปลี่ยนได้ทันทีแม้ ขณะรถวิ่งทุกความเร็ว ) เกียร์จะล้อคเฟืองท้ายกลาง ทำให้การส่งกำลัง กระจายแรงขับเคลื่อนไปยังล้อหน้าและหลังๆเท่าๆกันทั้งสี่ล้อ ซึ่งทำให้เกาะถนนได้ดีขึ้น แต่ก็กินน้ำมันเพิ่มขึ้นไปด้วย (โหมดนี้ไฟสัญญานขับเคลื่อสีล้อจะติดขึ้น) การขับขี่ในโหมดนี้ ถ้าความเร็วต่ำอาจจะรู้สึกว่าเวลาเลี้ยวพวงมาลัยหนักขึ้นกว่า โหมด H
3 การขับขี่ด้วยโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อช้า (LL) เป็นการขับขี่ ที่ต้องการกำลังฉุดมากๆ เช่น บรรทุกของหนักและขึ้นเนินชันมากๆ จนเกียร์ธรรมดาขึ้นไม่ได้หรือ ต้องการฉุดรถขึ้นจากหล่ม การใช้เกียร์นี้ต้องหยุดรถก่อน แล้ว เข้าเกียร์หลักที่ N พร้อมกับเหยียบเบรคไว้ ก่อน แล้ว จึงผลักคันบังคับขับเคลื่อนสี่ล้อ เปลี่ยนไปที่ LL ก่อนจึงจะเข้าเกียร์ได้ การขับด้วยโหมดนี้ รถจะล้อคเฟืองท้ายกลาง และขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ให้กำลังฉุดสูง และกินน้ำมันมากที่สุด(โหมดนี้ไฟสัญญานขับเคลื่อสีล้อจะติดด้วยเช่นกัน)
สำหรับการขับรถขึ้นเขา และลงเขา (รวมทั้งทางลาดชันยาวๆ ) ด้วยเกียร์อัตโนมัตินั้น ตอนขึ้น คู่มือประจำรถ แนะนำให้ขับด้วยเกียร์ D เนื่องจาก ถ้าทางชันมาก กำลังไต่ไม่พอ ในโหมด D เกียร์ ก็จะปรับลงเกียร์ต่ำให้โดยอัตโนมัติ และเมื่อกำลังพอ ก็จะเปลี่ยนกลับไปเป็นเกียร์สูงให้เอง ทำให้เกียร์ไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป ถ้าเราปรับด้วยตัวเอง เป็นเกียร์ต่ำ บางครั้งความชันลดไปแล้ว แต่เราไม่ได้เปลี่ยนเกียร์กลับให้สูงขึ้น ก็ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก และเกียร์ ต้องทำงานหนัก อาจจะทำให้เกียร์ร้อน และเสียหายได้
แต่ในทางตรงกันข้าม ตอนขับรถลงเขาติดต่อกันนานๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เบรคติดต่อกันนานๆ ซึ่งจะทำให้เบรคร้อนผ้าเบรคใหม้ และเบรคไม่อยู่เกิดอันตรายได้ ให้ใช้ Engine Brake โดยการลดเกียร์ช่วย ซึ่งปกติ เกียร์อัตโนมัตสมัยใหม่ จะลดเกียร์ลงมาให้อยู่แล้วเมื่อลาดชันมากเพื่อลดความเร็วลง แต่ถ้าทางลาดชันนั้นมีโค้งมาก กว่าปกติ จนความเร็วที่รถลงมา ไวเกินกว่าการควบคุมของเรา จนต้องเหยียบเบรคช่วยบ่อยๆ การลดเกียร์ลงมาด้วยตัวเราเอง เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ และถ้าความเร็วลดลงมามากจน เรารู้สึกว่าช้าเกินหรือ รอบเครื่องยังสูงมากแทนที่จะเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว ก็ให้เปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นไปก่อนแทน

 

เพิ่มเติม เรื่องการปรับปรุงเบรคFortuner เป็นระบบ Disc Brake 4 ล้อ

คลิคได้เลย >>>Run Stop 4 Wheels Disc Brake

Visit Jfk Car Gallery

www.2jfk.com

มีข้อแนะนำ หรือ ข้อมูลเพิ่มเติมแนะนำได้ครับ

jfk@2jfk.com