ประวัติ
การพิชิต Everest (8848 m)
ในช่วงต้นศตวรรษ
ที่ 18
เริ่มมีการเข้าไป
สำรวจบริเวณเทือกเขาหิมาลัย
กันอย่างจริงจังโดยทีมสำรวจของ
สหราชอาณาจักร
ในตอนต้นของการสำรวจ
คณะสำรวจ
พบว่ายอดเขาที่สูงสุดของโลก
น่าจะเป็น Kanchenjunga
ซึ่งวัดด้วยเครื่องมือในสมัยนั้น
พบว่าสูงประมาณ 8582
เมตร
แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน
พวกเค้าพบยอดเขาแหลมอีกยอดที่อยู่ด้านหลังเลยออกไป
ที่ดูเหมือนว่าอาจจะสูงกว่า
Kanchenjunga
แต่ว่าในตอนนั้นยังอันตรายเกินไปที่จะ
ข้ามไปสำรวจ
แต่หลังจากนั้นก็มีทีมสำรวจเข้าไปตรวจสอบสำรวจพื้นที่ด้วยกล้องเซอร์เวย์ที่คุณภาพสูงในยุคนั้นอย่างต่อเนื่อง
จนในที่สุดในปี 1852
สองนักสำรวจ
ในคณะสำรวจหิมาลัย
ของอังกฤษ คือ Radhanath
Sikhdar และ Michael Henessy
ได้รายงาน ต่อ Sir Andrew
Waugh
ผู้อำนวยการคณะสำรวจฯ
ว่ายอดเขาที่สูงที่สุดในโลกคือ
ยอดที่ 15 ของหิมาลัย
ซึ่งมีความสูงไม่น้อยกว่า
8840 เมตร ยอดเขานี้
มีชื่อในภาษาทิเบตอยู่แล้ว
ว่า "Chomolungma" หรือ "
Qomolangma " หรือ "Tschoumon
Lunckma" ซึ่งแปลว่า "
The Goddess Mother of the world "
หลังจากปรึกษากันแล้ว
ทางทีมสำรวจได้ตั้งชื่อทางการสำหรับยอดเขาสูงสุดของโลก
รูปทรงปิรามิดที่ค้นพบนี้
ว่า " Everest " ตามชื่อ
ของ " Sir George Everest "
ผู้อำนวยการใหญ่ของคณะสำรวจ
ชุดก่อนหน้า Waugh
ที่เป็นคนค้นพบ
ยอดเขานี้
ตั้งแต่ปี 1841
ตอนแรก Gorge Everest
ก็คัดค้านการใช้ชื่อนี้เนื่องจาก
Everest ไม่สามารถสะกด
และออกเสียงในภาษา
ฮินดี
อันเป็นภาษาท้องถิ่น
แถวนี้ได้(ไม่รู้เขินหรือปล่าว)
แต่ Waugh
ก็ยังคงยืนยันชื่อนี้
จนในที่สุดปี 1862 Royal
Geographic Society
ก็ยอมรับชื่อ Everet
อย่างเป็นทางการ
ดังนั้นใน
กลางศตวรรษที่ 19"
Everest " ได้ถูกค้นพบ
และตั้งชื่อเรียบร้อยแล้ว
พร้อมกับคำถามที่ว่า
ใครจะพิชิตมัน
ซึ่งอีก 100 ปี
ถัดมามีคำตอบ
Mt. Kanchenjunga
Note
ปัจจุบัน พบว่า Kanchenjunga
ที่เคยคิดว่า
สูงที่สุดในโลก และ
ถูก Everest แซงไป
นั้นจริงๆแล้ว
ตกมาเป็นสูงเป็นอันดับ3
ของโลก
โดยโดนอันดับ 2
หน้าใหม่ ยอด K 2
ที่สูง 8611 m.
ที่โด่งดังจากหนังปีนเขา
เรื่อง Vetical Limit แซง
ขึ้นมา
มาดูความพยายามในการพิชิต
Everest กัน
ในต้นคริสศตวรรษที่
20 ราวๆปี 1920
ก็เริ่มมีการตื่นตัวในการพิชิตยอดเขาสูงนี่กันแต่ยังไม่ประสพความสำเร็จ
จนในช่วงนั้น
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ในยุคประมาณปี 1950ช่วงนั้น
จีนบุกเข้ายึดทิเบต
รวมเข้าเป็น
ส่วนนึงของจีน
ทำให้ชาวเนปาลบางคนเริ่มวิตกกังวลคิดว่า
ประเทศตนเอง
อาจจะตกในชะตากรรมเดียวกัน
ถ้ายังโดดเดี่ยวตัวเอง
ดังนั้น
ทางเนปาลจึงได้เปิดอนุญาติให้
มีการขึ้นยอด Everest
ได้
ทำให้เกิดกระแสพิชิตยอด
Everest
ได้กลับมาบูมอีกครั้ง
โดยในยุคนั้นเป็นการขับเคี่ยวกัน
ระหว่างสองชาติมหาอำนาจการปีนเขา
คือ สวิส และ
สหราชอาณาจักร
โดยหวังว่า
ด้วยเทคโนโลยี่ด้าน
Oxygenพกพาที่จะติดตัวไปที่ดีขึ้น
ตลอดจนเสื้อผ้า และ
อุปกรณ์การปีนเขาที่ทันสมัยขึ้น
จะทำให้การพิชิตยอดเขาสูงสุดของโลกแห่งนี้
สำเร็จลงได้
ในช่วง
เดือนตุลา 1951 คณะของ
Eric Shipton ที่มี
หนุ่มชาวนิวซีแลนด์นามว่า
Edmund Hillary
ได้สร้างปรากฏการณ์ที่สำคัญคือ
ผ่านข้ามจุดอันตราย
คือ Khumbu Icefall ไป
ยังบริเวณ Western Cwm (เวสเทิร์น
คูม
หรือหุบเขารูปแอ่งด้านตะวันตก)
ของ Everest
ถือเป็นการคืบหน้าเข้าใกล้จุดสูงสุดของโลกมากที่สุด
ในขณะนั้น
ในปี 1952
ถือว่าเป็นปี
ของทีมสวิส
ซึ่งได้รับ Permit
จากทางเนปาลแค่ Permit
เดียว
หลังจากฝึกหนัก กับ
เทือกเขา Alp
ที่บ้านตัวเอง
ทีมสวิสต์โดยการนำของ
E. Wyss-Dunant และทีม
เซอร์วิสชั้นยอด
จากเชอร์ปา
ท้องถิ่น
ซึ่งรวมทั้ง Tenzing Norgay
Sherpa ด้วย
พวกเค้าสร้างสถิติใหม่ขึ้นหลายอย่าง
เช่น
เป็นทีมแรก
ที่ไปถึง South Col (ทางเดินระหว่างภูเขารูปอานม้าด้านทิศใต้ของ
Everest)
เป็นทีมแรก
ที่ตั้งแค้มป์ ที่
สันเขาด้านทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้
(Southeast Ridge)
และ
เหลืออีกแค่ช่วงสั้นๆนิดเดียว
ก่อนถึง Summit ที่ Raymond
Lambert และ Tenzing Norgay ไปถึง
ก่อนที่จะต้องถอยกลับลงมาอย่างน่าเสียดายโดยทำจุดสูงสุดไว้ที่ระดับ
8595 เมตร
เหลืออีกแค่
สองร้อยเมตรกว่าๆเท่านั้น
ในช่วงตลอดปี
1952 ทีม
สหราชอาณาจักร
ภายใต้การนำของ
พันเอก John Hunt
ได้มีการฝึกหนัก
และปรับปรุง
อุปกรณ์อ๊อกซิเจนให้
สมบูรณ์ที่สุด
ด้วยความหวังที่พิชิต
Everest ให้ได้ในปี 1953
เนื่องจากในวันที่ 2
มิถุนา 1953 จะมีพิธี
ราชาภิเษก (Coronation )
สำหรับ Queen Elizabeth II
ซึ่งถ้าทีมสามารถพิชิตยอดเอเวอเรสต์ได้ในปีนี้ก็จะเป็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่
พร้อมกัน
ในปี
1953 ทีมสหราชอาณาจักร
ซึ่งมีจำนวนสมาชิก
มากกว่า สี่ร้อยคน(รวมลูกหาบ
362 คน และ Sherpa Giuide 20 คน)
ภายใต้การนำของ Jonh Hunt
พร้อมอุปกรณ์ ที่
คัดเลือกอย่างดี
กว่า 5000 ปอนด์ (กว่า 2
ตัน)
บางคนว่ามีจำนวนมากกว่า
10000 ปอนด์ หรือ 4
ตันได้ถูกจัดเตรียม
ไว้ในทั้ง 8
แค้มป์ที่จัดวางไว้
โดยเริ่ม Set Base Camp
ในช่วงเดือน มีนา 1953
และ ตั้ง Camp สุดท้าย (Camp
8 ) ที่ South Col (ระดับ 7890 m)
ในเดือน พฤษภาคม
ทีมงานของ Hunt
ต้องเผชิญกับพายุหิมะ
ที่รุนแรง
อุณหภูมิที่ต่ำลงอย่างมาก
ตลอดจน
ปัญหาทั้งด้านอาหารและอ๊อกซิเจน(แม้ว่าจะเตรียมไปอย่างดีแล้ว)
จน John Hunt
ต้องบันทึกไว้ว่า
มันคือ "
ความยากลำบาก
ที่ไม่มีใครในพวกเรา
จะลืมได้"
วันที่
26 พค. 1953 ทีมของ Hunt ส่ง
Bourdillon และ Evans
ขึ้นเพื่อพิชิต Summit
แต่ ระบบ
อ๊อกซิเจนช่วยหายใจ
ของ Evan มีปัญหา
ทำให้ทั้งสอง
ต้องถอยกลับลงมา
ทั้งที่เหลือระยะไต่ขึ้นไปอีกแค่
91 เมตร
ในแนวดิ่งเท่านั้น
ก็จะถึง Summit "
สองวันถัดมาทั้งทีมเจอ
ทั้งลม
และหิมะที่กระหน่ำใส่จนต้องหยุดพักที่แค้มป์
ที่ South Col
ในที่สุดวันที่
28 พค. 1953 ผู้พัน Hunt
ก็ส่ง สมาชิก 2
คนในทีม คือ Edmund Hillary
หนุ่มวัย 34
จากนิวซีแลนด์ และ
Tenzing Norgay ( เชอร์ปา
ฝีมือดี
ที่เคยร่วมทีมกับ
ทีมสวิส
ในการบุกขึ้นยอดเอเวอร์เรสต์ในปี
1952) เพื่อ
พยายามขึ้นสู่ยอด
Everst โดยมี
ทีมสนับสนุน อีก 3 คน
คือ Gorge Lowe , Alfred Grgory และ Ang
Nyima ทั้ง 2 คน
ขึ้นไปตั้งเต็นต์เดี่ยวค้างคืนบนสันเขาใกล้
South Summit ของ Everest
ที่ระดับ 8500 m
ในขณะที่ทีม Support
ทั้งสามย้อนกลับลงไปรอยังแค้มป์ข้างล่าง
เช้ามืดวันที่
29
พวกเค้าทั้งสองคนเตรียมตัวออกจากเต็นต์
เพื่อขึ้นพิชิต Summit
แต่ Hillary พบว่า
รองเท้าของเค้าที่ปล่อยทิ้งไว้นอกเต็นต์
กลายเป็นน้ำแข็ง (บทเรียนที่นักปีนเขาสูงทุกคนต้องรู้คือ
อย่าเอารองเท้าไว้นอกเต็นต์ในตอนนอนกลางคืน
หรือทุกๆเวลา
ไม่งั้นมันจะเย็นจนเป็นน้ำแข็ง
และจะใส่ไม่ได้)
เค้าต้องเสียเวลาเกือบสองชม.
เพื่อวอร์มรองเท้า
กว่าจะใส่มันได้
พวกเค้า
ออกจากแค้มป์ ตอน 6:30
น. พร้อมด้วย Oxygen Backpack
หนัก 30 ปอนด์
วันนั้นอากาศค่อนข้างจะดีสมบูรณ์แบบ
หลังจากไต่ระดับกันมาหลายชั่วโมง
ในที่สุดอุปสรรคสำคัญที่ขวางหน้า
ก็คือ
หน้าผาหินและน้ำแข็ง
ที่สูง 40 ฟุต
ที่ต้องไต่ขึ้นก่อน
มุ่งสู่ Summit
Hillary
ตัดสินใจไต่ไปตามร่องแตกระหว่างหินและน้ำแข็ง
โดยมี Tenzing ตามขึ้นไป
แต่แล้ว
เค้าก็ติดอยู่กับร่องแตกนั่นโดยปลายหนามของ
Crampon
จมติดไปในน้ำแข็ง
ตอนนั้นเค้าตัดสินใจ
บอกให้ Tenzing ไปต่อ
โดยทิ้งเค้าไว้ตรงนั้น
แต่
ในที่สุดเค้าทั้งสองก็หลุดจากการติดตรงร่องนั้นออกมา
และมุ่งหน้าไปต่อได้
(หน้าผาหินและ
น้ำแข็งจุดนี้ได้รับการขนานนามว่า
Hillary Step ในเวลาต่อมา
และ Hillary Step
ตรงนี้นี่เอง
คืออุปสรรคสำคัญในปัจจุบันในการขึ้นสู่ยอด
Everest
เนื่องจากมันเหมือนคอขวด
ในปัจจุบัน
นักปีนเขาปีล่ะหลายร้อยคน
หรือเกือบพันคน
จะขึ้นยอด
เอเวอร์เรสต์ในแต่ล่ะปี
และบ่อยครั้งที่
คนจำนวน
หลักร้อยมาออกันแน่นตรง
คอขวดนี้เพื่่อรอไต่ผ่านกำแพงนี้ขึ้นยอด
ทำให้ต้องเสียเวลาหมดอ๊อกซิเจนไป
พร้อมกัน
เพิ่มโอกาส
ในการแพ้ควมสูง
และเสียชีวิตกันที่จุด
นี้)
เส้นทางหลังจากนั้นสู่
Summit
ทางสันเขาด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเอเวอเรสต์ไม่ยากมากนัก
ในที่สุด
เวลา 11:30 น.ของวันที่ 29
พฤษฏาคม 1953
ทั้งสองคน
ก็ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก
พิชิตยอด Everest ที่ South Pole
ได้สำเร็จ
Tenzing Norgay
ให้สัมภาษณ์ว่า Edmund
Hillary
คือคนแรกที่ขึ้นไปเหยียบ
ยอด Everest
ในขณะที่ Hillary บอกว่า
เค้าทั้งสอง
ขึ้นถึงจุดสูงสุดนั้น
พร้อมๆ กัน Hillay
ถ่ายภาพของ Norgay
สวมหน้ากากอ๊อกซิเจน
ถือธงชาติ
สหราชอาณาจักร
ซึ่งเป็นภาพที่นักปีนเขาทุกคนจดจำกันได้ดีภาพนี้ไว้
และอีกภาพ
เป็นภาพถ่ายลงมาจากภูเขา
เพื่อยืนยัน
ว่าทั้งสองขึ้นมาถึงยอดของ
Everest จริง
ภาพที่คุ้นตา
ของ Tenzing Norgay และ Edmund Hillary
ภาพนี้
หลายคนคิดว่าเป็นภาพถ่ายบน
Everest ของทั้งคู่
แต่จริงๆแล้ว
เป็นภาพถ่าย
ของทั้งสองตอนที่กำลังแพ็คของออกจาก
South Col
เพื่อขึ้นไปตั้งเต็นต์บนสันเขาด้านใต้
ก่อนขึ้นยอดในวันถัดไป
ไม่มีภาพถ่ายสำคัญของ
Edmund Hillary บนยอด Everestในคร้งนั้น
บางคนเชื่อว่าเป็นเพราะว่า
Tenzing Norgay
ไม่เคยใช้กล้อง แต่
ว่า
เค้าให้สัมภาษณ์ว่าเค้าเสนอที่จะถ่ายรูปให้กับ
Hillary แต่ว่า
เค้าส่ายหน้าปฏิเสธ
บอกว่าไม่ต้อง
ทั้งคู่ใช้เวลา
อยู่บนนั้น
ด้วยกันประมาณ15
นาที ก่อนกลับลงมา
เนื่องจากมีหิมะตกลงมาปกคลุมทาง
ทำให้ทางลงค่อนข้างลำบาก
แต่ทั้งสองคนก็ค่อยๆไต่กลับลงมาแค้มป์ข้างล่างได้ปลอดภัย
คนแรกที่พวกเค้าพบก็คือ
Loweที่
ปีนย้อนเอาซุปอุ่นๆ
ขึ้นไปต้อนรับทั้งสองคน
ข่าวการพิชิตยอดEverest
ของทีมสหราชอาณาจักร
ไปถึง อังกฤษ ในวัน
สถาปนา
ควีนอลิซาเบท ที่ 2
ในวันที่ 2 มิย. 1953
พอดี ทั้ง 37 คนในทีม
ของ ผู้พัน Hunt
ได้รับมอบเหรียญ Queen
Elizabeth II Coronation Medal
ซึ่งที่ขอบสลักอักษร
" Mount Everest Expedition " ไว้
และ ทั้งผู้พัน Hunt
และ Edmund Hillary
ได้รับแต่งตั้งเป็น
ขุนนางชั้นอัศวิน (
Sir ) ส่วน Tenzina Norgay Sherpa
ได้รับ
เหรียญรางวัล British Empire
Medal (Gorge Medal )
นอกจากนี้ทาง
รัฐบาล Newzealand ยังให้
เกียรติ Hillary
โดยการพิมพ์ภาพเค้าลงในธนบัตร
5$
ของนิวซีแลนด์ด้วย
ในปี
1960 Edmund Hillary
รอดตายจากอุบัติเหตุ
เครื่องบิน TWA Flight 266 ตก
เนื่องจากเค้าพลาดเที่ยวบินนั้นจากการไปสาย
ทำให้รอดตายอย่างโชคช่วย
Sir
Edmund Percival Hillary
จากไปด้วยโรคหัวใจ
เมื่อวันที่ 11
มกราคม 2008 ในวัย 88 ปี
ที่เมืองโอ้คแลนด์
นิวซีแลนด์ RIP
ในปัจจุบัน
มี
การจัดการแข่งขัน Tenzing Hillary Everest Marathon
รายการมาราธอน ที่สูงที่สุดในโลก
ที่จัดให้เป็นเกียรติ
กับ
สองยอดนักปีนเขาที่พิชิตเอเวอร์เรสต์เป็นครั้งแรกทั้งสอง
โดยรายการนี้จะจัดขึ้นทุกวันที่
29 พฤษภาคม ของทุกปี (ตรงกับวันที่
พิชิตยอดเอเวอร์เรสต์เป็นครั้งแรก
)
โดยเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี
2003
และจัดต่อเนื่องมาทุกปี
การแข่งขันเป็นการวิ่งลงจาก
Everest Base camp ( 5356m ) มายัง Namche
Bazaar ( 3446m ) ระยะทางรวม 42.195
กม.เท่ากับมาราธอนทั่วไป
แต่เส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางลงเขา
แต่ว่า
มีบางช่วงที่ต้องปีนข้ามเขา
และลุยหิมะเช่นกันดังนั้น
ทักษะในการเดินและปีนเขา
จึงสำคัญมากกว่า
ทักษะการวิ่งบนถนน
สถิติที่ทำไว้
สำหรับแช้มป์
ปีก่อนๆคือ ราวๆ 3 ชม.
40 นาที ซึ่งอดีต
ที่ผ่านมาแช้มป์มักเป็นของ
คนเนปาล และ
เชอร์ปามาตลอด
รายการนี้ทุกปีมีชาวต่างชาติเข้าร่วมด้วยพอสมควร
และทุกคนที่เข้าร่วม
จะต้องไปพักในเนปาล
ก่อนวันแข่งล่วงหน้า
ประมาณ 3
สัปดาห์เพื่อการปรับตัวเข้ากับที่สูงและสภาพอากาศ
(Acclimatize) และ ร่วม Trekking 10-15
วัน จาก Lukla ไป Namche และ
Kalapatra ก่อนต่อไปยัง EBC (
Everest Base Camp ) เพื่อพัก
และ
เตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน
ส่วนตัวเองแอบบันทึกรายการนี้ไว้ในกิจกรรม
Wish List แล้ว
แต่ยังห่วงเรื่องเวลานี่แหละ
ถ้าเคลียร์ได้อยากไปแจมซักครั้ง
:P ใครสนใจ
เข้าไปดูรายละเอียด
และ
สมัครได้ตามลิ้งค์
เลยครับ Tenzing Hillary Everest Marathon
ข้อถกเถียง
ทาง ภูมิศาสตร์ (Geology)
ว่า Everest
สูงที่สุดจริงหรือ
แม้ว่า
จะรู้กันดีอยู่แล้วว่ายอด
ของ Everst
เป็นจุดที่สูงที่สุด
ของโลกคือ อยู่สูง
8848 หรือ 8850 เมตร
เหนือระดับน้ำทะเล
แต่ก็ยังมีคนพยายาม
หาทาง
ให้ภูเขาอื่นมาโค่นแช้มป์ความสูงของ
Everest ได้ รวม 3 Category
1
ความสูงของภูเขา
ที่วัดจากฐานภูเขาที่พื้นดินถึงยอด
แช้มป์ คือ Mt McKinley
ยอดเขาที่สูงสุดของทวีปอเมริกาเหนือ
ที่อลาสก้า
ที่ยอดของมันอยู่ที่ระดับความสูง
6,194 m
เหนือระดับน้ำทะเล
แต่ ภูเขานี้
ตั้งอยู่บนที่ราบที่มีความสูงประมาณ
300-900
เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
หรือ เฉลี่ย 600 เมตร
ดังนั้น ความสูง
วัดจากฐานถึงยอดเขาจะสูงเฉลี่ยประมาณ
5600 เมตร
ในขณะที่ Everest
ตั้งอยู่บนที่ราบสูงธิเบต
ซึ่ง อยู่ที่ระดับ
4200-5200 เมตร หรือ
เฉลี่ย 4700
เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ดังนั้นความสูงจากฐาน
ถึงยอดของ Everet
จึงอยู่ที่ระดับประมาณ
3,650 เมตร ถึง 4,650 เมตร
หรือ เฉลี่ย เท่ากับ
4150 เมตรเท่านั้น
2
ความสูงของภูเขาที่วัดจากฐานถึงยอด
โดยไม่คำนึงว่าฐานอยู่บนดินหรือไม่
แช้มป์ได้แก่ Mt.Mauna Kea
ใน ฮาวาย
โดยยอดเขานี้
สูงจากระดับน้ำทะเลเพียง
4205 เมตร
แต่ถ้าวัดจากฐาน
ถึงยอดมันจะสูงมากกว่า
10,200 เมตร
เนื่องจากภูเขานี้
ที่ฐานที่จมอยู่ลึกลงไปใต้มหาสมุทร
อีกกว่า 6 กิโลเมตร
3
จุดสูงสุดของโลกวัดเป็นระยะห่าง
จุดศูนย์กลางของโลกแทน
การวัดจากระดับน้ำทะเล
แช้มป์ได้แก่
ยอดเขา Chmborazo ใน Ecuador
ซึ่งยอดมันสูงจาก
ระดับน้ำทะเล แค่ 2,168
เมตร แต่ว่า
อยู่ห่างจากศูนย์กลางของโลก
6,384.4 km(กิโลเมตร)
ในขณะที่ ยอดของ Everest
อยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางโลก
6,382.3 km (น้อยกว่า 2.1 กม.)
เนื่องจากโลกเราป่อง
ออกตรงกลาง
แถวศูนย์สูตร
มีระยะห่าง
จากศูนย์กลางโลก
มากกว่า
แถวขั้วโลกหรือ
ส่วนอยู่อยู่ห่างออกไป
สถิติที่สนใจอื่นๆของ
Everest
1960
คนที่ขึ้นยอด Everest
ได้จากด้านเหนือ (ด้านทิเบต)
ครั้งแรกของโลก
คือ ทีมจากจีน 3 คน
คือ Chu Yin Hua , Wang Fu Zhou และ Konbu
(ชาวทิเบต) ในวันที่
25 พฤษาคม 1960
หลังการพิชิตยอดเอเวอร์เรสต์ครั้งแรกที่
ขึ้นจากทางใต้(ทางเนปาล)
7 ปีพอดี
1970 คนแรกที่
ทำ Sea To Summit ได้สำเร็จ
คือ Tim Macartney-Snape ชาว
ออสเตรเลียในปี 1970
โดยเดินขึ้นจากระดับน้ำทะเล(
0 เมตร)
ที่อ่าวเบงกอล
ไปจนถึงยอด Everest (8848
เมตร )
1970 The Man Who Ski Down
Everest ในวันที่ 6 พค. 1970
Yuichiro Miura Ski ลงจาก South
Col มายัง ด้านล่าง
ของ Lhotse Face
ความเร็วปลายของเค้า
อยู่ที่ กว่า 160 กม./ชม.
ช่วงท้ายเค้าใช้ร่มชูชีพ
ช่วยชลอการหยุด แต่
ว่าเค้าเสียการทรงตัว
หลัง กระแทก
เข้ากับก้อนหิน
เคาหมดสติ
และลื่นไถลลงมาตามทางลาดน้ำแข็งกว่า
200 เมตร
ก่อนที่จะโชคดี
รอดตาย
เมื่อร่างที่หมดสติของเค้า
หยุดลงก่อนตกลงไปในร่องเหวน้ำแข็งขนาดยักษ์
แต่หลังจากอุบัติเหตุคราวนั้น
33 ปี ในปี 2003 Yuichiro Miura
กลับมาสร้างสถิติเป็นคนอายุสูงสุด
ที่ขึ้น
เอเวอเรสต์สำเร็จด้วยอายุ
70 ปี และ ใน วันที่ 26
พค 2008 เค้าเกือบ
สร้างสถิติใหม่
เป็นคนอายุมากที่สุด
คือ 75 ปี ที่ขึ้น
เอเวอร์เรสต์สำเร็จ
ทำลายสถิติตัวเอง
ถ้า ก่อนหน้านั้น 1
วัน คือ วันที่ 25 พค.
2008 Min Bahadur Sherchan ชาวเนปาล
จะชิงทำลายสถิติไปก่อนแล้วด้วย
อายุ 76 ปี 11 เดือน 5 วัน
1975
หญิงคนแรกที่พิชิต
ยอด Everest คือ Junko Tabei Ishibashi
ชาวญี่ปุ่น
ในวันที่ 16 พฤษภาคม
1975
โดยก่อนจะพิชิตได้เธอถูกหิมะถล่มเกือบเอาชีวิตไม่รอด
แต่
ได้รับความช่วยเหลือ
จาก Sherpa ของเธอ
ก่อนทีจะพิชิตยอดได้สำเร็จ
และหลังจากนั้น
อีก แค่ 11 วัน
ในวันที่ 27 พค.
ทีมปีนเขาของจีน
ที่มี Phantog
สาวชาวทิเบต
ร่วมทีมไปด้วยก็
พิชิตยอด Everest
ได้เป็นคนที่สอง
และเป็นคนแรก
ที่ขึ้นจากด้าน
ทิเบต
1978
คนแรกที่ขึ้นยอด Everest
โดยไม่ต้องใช้ Oxygen
ช่วย คือ Reinhold Messner
ชาวอิตาลี และ Peter Habeler
ชาวออสเตรีย
ในวันที่ 8 พค. 1978
1980
คนแรกที่ขึ้นยอด Everest
คนเดียว
โดยไม่มีทีมร่วม (Solo
Ascent ) คือ Reinhold Messner
คนเดิม ในวันที่ 20
สิงหา 1980
และยังเป็นการขึ้นโดยไม่ใช้
Oxygenช่วยด้วยเช่นกัน
และยิ่งไปกว่านั้น
การขึ้นยอดครั้งนี้
เค้าขึ้นจากด้านทิศเหนือ
คือ ทางด้านทิเบต
ซึ่งขึ้นยากกว่า
ด้านใต้ หรือ
ด้านเนปาลด้วย
สำหรับ Reinhold
Messner ถือว่า
เป็นยอดนักปีนเขาที่เก่งที่สุดของโลก
และได้รับฉายาว่า
" King Of Mountains "
ทั้งที่เค้าเกือบตายในการปีนเขา
Nanga Parpat เมื่อปี 1970
จากการตะเวณหาน้องที่โดนพายุหิมะถล่ม
และติดในหิมะ 6 วัน
จนโดนหิมะกัดต้องตัดนิ้วเท้า
ถึง 6 นิ้ว แต่
เค้าก็กลับสร้างสถิติเกี่ยวกับการปีนเขามากมาย
รวมทั้งเป็นคนแรกที่
พิชิตยอดเขาสูงเกิน
8000 เมตร 14 ยอดของโลก ครบเป็นคนแรกของโลกด้วย
และ
เป็นการพิชิตโดย
ไม่ได้ใช้อ๊อกซิเจนช่วยด้วย
รวมทั้งมีเรื่องราว
Drama
อีกมากมายเกี่ยวกับเค้า
คนนี้ชีวิตน่าสนใจ
1990
มีสถิติใหม่ที่น่าสนใจหลายอย่าง
ที่เอเวอร์เรสนั่นคือ
First
Married Couple to Summit Everest
คู่แต่งงานคู่แรก
ที่พิชิต Everest
พร้อมกัน คือ Andrej และ
Marija Stremfelj ชาว Slovenia
ในวันที่ 10 กรกฏา 90.
First
Son of a summiter to Summit Everest
ทายาทของผู้ที่เคยพิชิตเอเวอร์เรสต์
มาก่อน
ที่พิชิตเอเวอร์เรสต์
ได้
ไม่ใช่ใครที่ไหน
เค้าคือ Peter Hillary
ลูกชายของ Sir Edmund Hillary
มนุษย์คนแรกที่
พิชิตเอเวอร์เรสต์นั่นเอง
เค้าทำได้ในวันที่ 5
ตุลา 90
First
father and son to summit together คู่พ่อและลูกชาย
ที่พิชิต Everest
พร้อมกัน ได้แก่ Jean Noel
Roche
และลูกชายของเค้า
Roche Bertrand หลังจาก
ที่เค้าพิชิต ยอด
Everest ได้แล้ว
เค้าทั้งสอง ได้ใช้
Paraglider (ร่มร่อน)
โดดลงจาก South Col.
ลงมายัง base camp
ในวันที่ 7 ตุลา 1990.ในตอนนั้น
Roche Bertrand อายุ 17 ปี
ซึ่งทำให้เค้า
ครองสถิติคนอายุน้อยทีสุด
ที่พิชิตเอเวอเรสต์
ในตอนนั้นก่อนโดน
ทำลายสถิติในเวลาต่อมา
2000 การ Ski
ลงจาก Everest
อย่างแท้จริง วันที่ 7
ตุลาคม 2000
เป็นการทำสถิติโดย
Davo Karnicar ชาวสโลเวเนีย
โดยการสกี
ติดต่อกัน (ไม่ถอดรองเท้าสกีออก
ตลอดช่วงการเดินทาง)
จาก Summit ความสูง (8,848m)
มายัง Base Camp ( 5,340m ) จากSummit
ลงมาถึง Camp IVเป็นช่วงที่ค่อนข้างยากและอันตราย
เค้าจึง
สกีลงมาตัวปล่าว
แต่หลัง จากCamp IV ลงมา
เค้าจัดการติดกล้องบันทึกภาพ
และวีดีโอ
น้ำหนักกว่า 3
กิโลเค้า กับตัว
เพื่อบันทึกภาพระหว่างลงมา
เค้าใช้เวลารวมทั้งหมด
5 ชม.จาก Summit ถึง Base Camp
โดยปลอดภัย
2005 การลงจอด
ของ Helicoptor บนยอด Everest
ครั้งแรก
เป็นฝีมือของ Diderr Delsalle
นักบินชาวฝรั่งเศษ
จากสายการบิน Druk Air ใน
เดือน พฤษภาคม 2005
โดยใช้เครื่อง Eurocoptor AS
350 B3ตามกฏ ของ FAI ( Federation
Aeronautic International )
สหพันธ์กีฬาเกี่ยวกับการบิน
และ การทำสถิติ
การลงจอดจะต้อง
จอดสัมผัสพื้นไม่น้อยกว่า
2 นาที แต่เค้าลงจอด
อยู่ประมาณ 4นาที
โดยในการลงจอดสัมผัสยอดนั้น
โรเตอร์ยังคงทำงานอยู่
เพื่อช่วยไม่ให้หิมะที่รองรับน้ำหนักเครื่องต้องรับน้ำหนักมากเกินไปจนอาจจะถล่มได้
ความสำคัญของการลงจอด
Helicoptor
ได้ในที่สูงอย่างนี้คือความหวังสำคัญสำหรับนักปีนเขา
ในการได้รับการช่วยเหลือกู้ภัย
โดย Helicoptor
ที่ระดับสูงๆ
ซึ่งทำได้ยาก
ในตอนทำสถิติครั้งนั้น
Diderr Delsalle ได้
กู้ภัยช่วยเหลือกนักปีนเขาชาวญี่ปุ่นสองคน
ลงมาจากระดับ 4877
เมตร ด้วย
แต่สถิติการกู้ภัย
จากระดับความสูงสุดของโลก
เจอจากโปสเตอร์โฆษณาอันนี้ของ
บริษัท Fishtail Air
เป็นการกู้ภัย
ช่วยนักปีนเขา
ที่ะดับ 6900 เมตร ที่
Annapurna Area ในวันที่ 29
เมษา 2010
2008
คนไทยคนแรก ที่ขึ้น
เอเวอร์เรสต์คือ คุณหนึ่ง
วิทิตนันท์
โรจนพานิช
โดยขึ้นยอด Everest ทางด้าน
Lukla ของ เนปาล
และขึ้นถึงยอดเมื่อวันที่
22 พฤษภาคม 2551
โดยคุณหนึ่งไปกับทีมที่
ได้รับการสนับสนุนจากทีวี
เวียดนาม
2008
คนที่ขึ้น Everest
สำเร็จตอนอายุมากที่สุด
คือ Min Bahadur Sherchan
ชาวเนปาล
เคาขึ้นเมื่อวันที่
25 พฤษภา 2008
นับอายุได้ he 76 ปี 11
เดือน 5 วัน
ที่น่าเศร้าสำหรับสถิติประเภทนี้
ก็คือ อดีตรัฐมนตรี
ต่างประเทศของเนปาล
Shailendra Kumar Upadhyay วัย 81 ปี
ที่พยายามจะทำสถิติเป็นคนอายุสูงสุดที่พิชิตเอเวอร์เรสต์
ในฤดูกาลปี 2011
โดยเริ่มขึ้น
ตั้งแต่เดือนเมษา
และ
วางแผนขึ้นยอดในปลายเดือนพฤษภาคม
แต่ระหว่างการฝึกขึ้นยอด
และปรับตัว
ในต้นเดือนพฤษภา 2011
ระหว่าง กลับลงจาก
Camp 1 (5700 m) มายัง Base Camp ( 5360 m)
เค้ารู้สึกป่วยกระทันหันและเสียชีวิตที่
Base Camp ในเวลาต่อมา
Shailendra Kumar Upadhyay ( RIP )
2010
คนที่ขึ้น Everest
ตอนอายุน้อยที่สุด
คือ Jordan Romero เด็กชาย
อเมริกันUSA
ทำได้เมื่อ วันที่ 20
พฤษภาคม 2010
เมื่ออายุได้ 13 ปี 10
เดือน 8 วันโดย
ขึ้นจากทางทิเบต
สและในปีถัดมาคือ
เมื่อเดือน ธันวา 2011
เค้าก็พิชิตยอดเขา
Vincent
ในแอนตาร์คติก้าได้สำเร็จ
ทำสถิติเป็น
คนอายุน้อยที่สุด
ที่พิชิต 7 Summit
of 7 Contiment of Theworld
ได้สำเร็จด้วยอายุ
15 ปี 5 เดือน 12 วัน
สถิติ
ของเค้าทั้งสอง
น่าจะยากที่จะมีคนทำลาย
เนื่องจาก
ทางด้านทิเบต
จีนมีการจำกัดอายุผู้ขึ้นเอเวอร์เรสต์
ต้องไม่ต่ำกว่า 18
และไม่เกิน 60
ในขณะที่ทางเนปาลจำกัดอายุ
คนขึ้น
ต้องไม่น้อยกว่า 16
แต่
ไม่จำกัดอายุสูงสุด
2011
คนไทยคนแรก ที่ขึ้น
Everest
จากทางด้านธิเบตได้สำเร็จ
คือ นพ.อาคม
กิจวนิชประเสริฐ (เป็นคนที่สองของไทย
ที่ขึ้น Everest ได้) โดย
ขึ้นได้เมื่อ 21 พค.54
โดย
คุณหมออาคมขึ้นด้วยทุนส่วนตัว
ตัวเอง โดย Pack
ทีมไปกับ
ทีมนักปีนเขา ชาว
สิงค์โปร์
และฟิลลิปปินส์
รวมเป็นทีมสี่คน
2011
คนที่ขึ้น Everest
ได้มากสุดถึงปัจจุบัน
คือ APA Sherpa หรือ ฉายา Super
Sherpa
ชื่อเดิมคือ
Lhakpa Trenzing Sherpa เกิดปี 1961
อายุ 51 ปี
ที่เริ่มการปีนเขาด้วยการเป็นลูกหาบที่ช่วยแบกของขึ้นเขาสูงในปี
1985 จนในปี 1990
ก็ได้โอกาศพิชิต Everest
ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
แล้วก็ได้เป็น Mountain
Guide
นำทีมนักปีนเขาขึ้นยอดอีกหลายคร้ง
รวมสถิติที่ขึ้นยอดได้สำเร็จมาแล้ว
21
ครั้งโดยตั้งแต่ปี
1990
ถึงปัจจุบันเค้าจะขี้น
Everest ทุกเดือน พฤษภา
อันเป็นฤดูปีนเขาที่นิยมกัน
เกือบทุกปี
ยกเว้นในปี 1994
ที่ขึ้นในเดือนตุลาคม
แทนที่จะเป็นพฤษภา
และเว้นในปี 1996 และ 2001
เท่านั้นที่เค้าไม่ได้ขึ้น
Everest Summit
ในปี 1992 ขึ้น 2 รอบ
ทั้งในช่วง พฤษภา
ตามปกติ และ
ในเดือนตุลาคม
ซึ่งปีนยากกว่าปกติ
ครั้งสุดท้ายเมื่อ
เดือน พค. 2011
ก็ขึ้นไปเช่นกัน(พร้อมๆกับคุณหมออาคมเราเลย)
คิดว่าปีนี้
ก็คงจะขึ้นไปเพื่อรักษาสถิติ
หนีคนที่ไล่ทำสถิติตามมา
รอติดตามข่าวต่อละกันเพราะว่า
ข่าวกับสถิติปีนี้ยังไม่ออกมา
แต่ไม่แน่เหมือนกัน
ว่าในเดือน
พฤษภาคมปีนี้ APA
จะขึ้น Everest หรือไม่
เพราะว่า ช่วง เดือน
มกรา ถึง เมษา 55
ที่ผ่านมา APA
ร่วมนำทีม
เดินเขาพิชิตแนวเทือกเขาหิมาลัย
( Great Himalaya Trial )ในส่วนที่อยู่ในเนปาล
เริ่มต้น จาก Kanchegjunga
ไปสิ้นสุดที่ชายแดน
ทิเบต
ระยะรวมประมาณ 1700
กิโลเมตร
ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก(ถึงก่อนกำหนดที่วางไว้ถึง
25 วัน)ไม่รู้ว่าจะกลับเข้าร่วมเทศกาลขึ้น
Everest
ในช่วงต้นเมษานี้
เพื่อพิชิตยอด
ตอนพฤษคม
ได้หรือไม่ แต่
ถ้าเอาจริงๆ Super Sherpa
คนนี้
ตามกลุ่มขึ้นไปสมทบกับทีม
ที่ Base Camp ตอน
ปลายเมษา หรือ
ต้นพฤษภาคม
ก็ยังทันขึ้น Summit
ได้สบายๆ
ผู้เสียชีวิตจากการปีนเอเวเรสต์
ผู้เสียชีวิตชุดแรกสุดที่มีการบันทึกไว้คือ
ทีมสำรวจของ British India
ในปี 1922
เสียชีวิตจากหิมะถล่ม
รวม 7 คน
ผู้เสียชีวิตล่าสุด
คือในปีนี้ มี 2 คน
เป็นเชอร์ปาชาวเนปาลทั้งคู่
คือ Karsang Namgyal Sherpa
ในวันที่ 19 เมษา 2112
ด้วย AMS(Acute Mountain Sickness หรือ
แพ้ความสูง ) และ
คนล่าสุดคือ Namgyal Treshering
Sherpa
ด้วยการตกไปในร่องน้ำแข็งลึกในวันที่
21 เมษา 2112
ยอดสะสมรวมผู้เสียชีวิต
ถึง สิ้นเมษา 2012 = 228 คน
หรือประมาณ 5%
ของผู้ประสพความสำเร็จ