Rolex
Cosmograph Daytona Ref 16523
Movement
Cal 4030 Base Cal Zenith 400 El Primero
Daytona
Cosmograph นิยาม สปอร์ต
จากรายการแข่งรถชื่อดัง
ขวัญใจวัยรุ่นทั้งหลาย
เรือนนี้มาในกล่องนอกที่แปลกตากว่าโรเล็กซ์สปอร์ตเรือนอื่น
ที่มักเป็นกล่องลายต้นไม้
แต่ตัวนี้กล่องกระดาษเป็นลายตัวอักษรโรเล็กซ์
แปลกกว่าตัวอื่นเค้าหน่อย
กล่องในเป็นไม้คล้ายลายไม้มะค่าลงยูรีเธน
ดูหรูกว่าพวกนาฬิกาสปอร์ตเรือนเหล็กทั้งหลายของโรเล็กซ์
คงเป็นเพราะว่า
ตัวนี้เป็น Rolesor
สองกษัตริย์ทอง Steel
เลยให้กล่องที่หรูกว่าอีกหน่อย
ทั้งๆที่ Steel
ล้วนบางตัวแพงกว่า
ซะอีก :P
กล่องด้านในไม่บุอะไร
มีแค่
แท่นยึดนาฬิกากำมะหยี่สีเขียวกับ
พื้นปูด้วยกำมะหยี่สีเขียว
มี TAG ป้าย Rolex
สีทองติดที่ฝากล่องด้านใน
พร้อมกับใบรับประกัน
และ
แคตตาล้อคโรเล็กซ์เล่มเล็กๆอีกปึกใหญ่เหมือนกับรุ่นอื่นๆ
Rolex
ตัวนี้ได้มาจากร้าน
Buccherer ที่สวิสต์ Daytona
Cosmograph
ตัวยอดนิยมอีกตัวนึง
ของวัยรุ่นที่นิยมโรเล็กซ์
ตัวนี้
ตอนซื้อยอมเลือกแบบ
สองกษัตริย์ 18K Yellow Gold
สลับกับ Stainless Steel (Yellow Rolesor)
แทน Steel ล้วน เนื่องจากกระแสนิยม
Daytona Steel ล้วนทำให้
รุ่นนั้นมีราคาแพงกว่า
Rolesor ตัวนี้
เกือบแสนบาท
ทั้งที่ต้นทุนการผลิต
และ
ราคาส่งจากบริษัทถูกกว่าด้วยซ้ำ
ทำให้ตัดสินใจเลือกตัวนี้
ซึ่งให้ความรู้สึกคุ้มค่ามากกว่า
แต่ต้องคอยระวังส่วนที่เป็นทองขัดมันเป็นรอยง่าย
ดูแลรักษายากหน่อย
ตัวนี้เป็นตัวเก่า
ระหัส 16523
ซึ่งใช้เครื่องCal 4030
base on Zenith 400 El Primeroซึ่งเป็นเครื่อง
Chronograph Automatic
เครื่องแรกของโลกที่ได้รับการผลิตขึ้นมา
และ
ยังเป็นเครื่องยอดนิยมที่ถูกนำมาใช้กับ
นาฬิกา Brand
ดังๆหลายตัวแต่ว่า
Rolex ก็นำมา Modified
จนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมเท่าไร
รวมทั้งปรับตั้งความถี่จากเครื่องเดิม
36,000 alternation/hr ให้เหลือแค่
28,800
เท่านั้นทำให้ได้พลังงานสำรองเพิ่มเป็น
54Hrs
และแน่นอนได้รับการทดสอบ
ความเที่ยงตรงระดับ
Chronometer
จาก COSC
ใช้ทับทิมรองแกนหมุน
31 jewels
กลไกการเข้าลานของตัวใหม่
ที่ใช้เครื่องRolex Inhose
นี่แน่นอน
ว่าเป็นชนิดเข้าลานสองทาง
ไม่ว่าจะหมุนทวนหรือตามเข็ม
ตามสไตล์ของโรเล็กซ์สปอร์ตทุกตัว
แต่ว่าตัวเก่าที่ใช้เครื่อง
Zenith นี่ทางตัวแทน Rolex
บอกกับผมว่าคิดว่าเข้าลานทางเดียว
แต่ผมลองทดสอบด้วยตัวเองหลายครั้งด้วย
Winder พบว่า
มันเข้าลานได้สองทางเหมือนกัน
จุดต่างที่สังเกตุได้ชัดของ
Daytona ตัวนี้ กับ Daytona
ตัวใหม่ (116523) ก็คือ
ตัวใหม่ Sub dial second
ที่บอกเวลาวินาที
จะย้ายจาก 9 น.มาอยู่ที่
6น. แทน
และตัวใหม่ใช้
เครื่อง Rolex4130 ความถี่
28,800 bph เครื่อง In-Houseของ
Rolex ที่พัฒนา
ขึ้นเองและกำลังได้รับความนิยม
อย่างรวดเร็วเช่นกัน
เรือนนี้ขอยืม
Daytona Steel ล้วน ของคุณ SVK
มาเป็นนายแบบ
ตัวใหม่นี้ระหัสรุ่น
Ref จะเพิ่มเลข 1
ข้างหน้ามาอีกตัวเป็นเลข
หกตัวแทน
สังเกตุเห็น
ได้ชัดว่า
วงบอกเวลาวินาที
ย้ายจาก 9 น.มาอยู่ที่
6 น.
สลับกับวงจับเวลาชม.
และถ้าตาดีๆ สังเกตุดีๆอีกนิด
จะเห็นว่าSubdial
สองวงที่ 9 และ 3 น.นั้น
ในรุ่นเก่าจะอยู่ตรงกับเลข
3-9 พอดี แต่ตัวใหม่จ
ะอยู่สูงกว่าเล็กน้อย
ถ้าไม่สังเกุตอาจจะเห็นได้ไม่ชัด
ขนาดตัวเรือนดูเหมือนใหญ่
แต่วัดจริงๆแล้ว
กลับไม่ใหญ่เหมือนที่คิด
Diametor กระจกหน้าปัด 30
มม. เท่ากับนาฬิกาสปอร์ต
Rolex ตัวอื่นๆ แต่ Diameter
ตัวเรือน 38.5 มม.เล็กกว่าพวก
Men Size
ตัวอื่นเล็กน้อย
แต่ถ้ารวม Crown Protector
เข้าไปด้วยก็เป็น42
มม. ความแค่หนา 12 มม
ไม่หนาเท่าที่คิด
หนาแค่พอๆกับ Rolex Explorer II เท่านั้น
ขอบBezel Yellow Gold 18K
เป็นเสน่ห์อีกอันนึงของรุ่นนี้
โดยมีการสลักตัวเลขทำเป็น
Tachymetric
Scale ใช้ร่วมกับเข็มจับเวลาเพื่อคำนวนอัตราเร็วได้ด้วย
ด้านข้าง
จะเห็นว่าไม่หนามากนัก
ใส่แล้วไม่ค่อยลอยจากข้อมือเท่าไร
โฟกัสที่เม็ดมะยม
และปุ่มกดจับเวลาชัดๆ
ปุ่มทั้งหมดทำจาก
Solid Yellow Gold 18K
จะเห็นว่านอกจากเม็ดมะยมขนาดใหญ่แบบขันเกลียวกันน้ำแล้ว
ปุ่มจับเวลาทั้งสอง
ก็เป็นแบบขันเกลียว
ด้วยเช่นกันถ้าตอนจับเวลาต้องคลายเกลียวออกก่อน
จึงจะกดได้
ซึ่งนอกจากช่วยให้นาฬิกา
เรือนนี้กันน้ำได้ลึกถึง
100 เมตร (330 feet) แล้ว
ยังเพิ่มความเท่ห์ให้อีกต่างหาก
ขนาดนาฬิกา Omega
Seamaster Chronograph AC ที่ทำออกมาภายหลัง
ยังลอกแบบปุ่มล้อคขันเกลียวแบบนี้ไปใช้
แต่ใช้แค่รูปแบบเท่ห์ๆ
จริงๆ
ไม่ได้ขันล้อค
ก็ยังเอา :P
ขอบBezel และ
สายท่อนกลางเป็น Solid
Gold 18 K ขัดมันสวย
แต่ดูแลยาก
และหลายคนติว่าทำให้มันดูเป็นเสี่ยมากเกินไปไม่สปอร์ต
จนทำให้ต้องยอมเพิ่มเงินอีกเกือบ
แสนไปเล่นตัว Steel
ล้วนที่ต้นทุนจากโรงงานต่ำกว่า
อีกแน่ะ :P
สาย
Ouyster เหมือนกับ Rolex
ตัวอื่นทั่วไป
มีตัวล้อคนิรภัย
ปั๊มตรามงกุฏ
สีทองตรงส่วนของบานพับและ
ตัวล้อค เป็นอันเดียวที่เป็น
Gold Plated ไม่ใช่ Solid Gold
เนื่องจากต้องทำเป็นเนื้อเดียวกันแยกชิ้นไม่ได้
Hologram
ด้านหลังตัวนี้ยังเป็นรุ่นเก่าสีเขียวธรรมดาไม่สะท้อนแสง
แต่ใส่มานานจนเหลือแต่สีเขียวแล้ว
ฝาหลังต้องใช้เครื่องมือเปิดพิเศษของโรเล็กซ์ช่วยจับรอยหยักที่เห็นในการเปิด
สรุป
ถ้าเป็นแฟน Rolex Sport
คงต้องไม่พลาด Daytona
ถ้าไม่ชอบทอง
ไม่เกี่ยงงบ
ก็ควักเพิ่มอีกแสน
เอา Steel ล้วนที่เค้านิยมกันมาใส่เท่ห์ดี
แต่ตัวนี้ผมมองในแง่คุ้มค่ากว่า
หรือถ้ารักมากๆ
ก็เอาทั้ง Daytona เก่า
และใหม่
ได้เครื่องสองแบบมาดูเล่นทั้งสองตัวเทียบความเจ๋งกันไปเลย
:P
|